หนึ่งประเด็นในวงการสื่อที่มีการพูดถึงมากที่สุดในรอบ 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นการประกาศลาออกแบบยกชุดของกองบรรณาธิการ The Momentum สื่อออนไลน์มาแรงแห่งยุค ผ่านบทบก.ของ นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหาร ซึ่งจะมีผลทันทีตอนสิ้นเดือนมีนาคมนี้
เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทที่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อขวัญใจคนรุ่นใหม่ ทีมงาน AHEAD.ASIA ต่อสายตรงเพื่อพูดคุยกับบก.หนุ่มที่กำลังจะเป็นอดีตของ The Momentum ถึงเส้นทางที่รออยู่ข้างหน้า และมุมมองที่มีต่อวงการสื่อของประเทศ
เหตุผลในการตัดสินใจลาออก
ก็เป็นไปตามที่โพสต์ไว้ครับ จริงๆก็เป็นเรื่องปกติของคนทำงานที่ทัศนคติไม่ตรงกัน แต่ไม่ใช่ความขัดแย้ง และก็ไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ใหญ่โตอะไร เพียงแค่แนวทางคนละแบบ ก็คิดว่าตัดสินใจที่จะออกมาดีกว่า อีกเหตุผลก็คือผมตัดสินใจจะไปทำงานที่ใหม่กับพี่โหน่ง (วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์) นี่ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี
ก่อนโพสต์ในบทบรรณาธิการ ได้คุยกับคุณ สุรพงษ์ เตรียมชาญชัย (เจ้าของบริษัทเดย์ โพเอทส์ จำกัด) แล้ว?
ผมก็ได้แจ้งกับทางผู้บริหารล่วงหน้าตามมารยาท คือหนึ่งเดือน เพื่อให้หาคนแทนตามกระบวนการปกติของการทำงานทั่วๆไป ผมได้อธิบายเหตุผลกับคุณสุรพงษ์แล้ว ก็เป็นการจากกันด้วยดี ผมก็ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนด้วยดีมาตลอด และถ้ามีโอกาสก็อาจจะได้ร่วมงานกันอีกในอนาคต
ใครจะมาแทนคุณ นครินทร์ และทีมงาน?
เรื่องนี้ขึ้นกับทางผู้บริหารว่าจะตัดสินใจยังไง และถ้าต้องการคำแนะนำว่าจะสานต่อยังไง ก็ยินดีที่จะถ่ายทอดงานครับ แต่คงตอบแทนไม่ได้ว่าใครจะมาทำงานต่อ เพราะผมก็ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ คงไม่เหมาะที่จะเป็นคนพูดแทน
ได้คุยกับ คุณวิไลรัตน์ เอมเอี่ยม (บก.บห. A Day Bulletin ที่ลาออกในวันเดียวกัน) ว่ายังไงบ้าง
ก็ได้คุยกับพี่เค้าว่าจะอะไรยังไงต่อ แต่เรื่องรายละเอียดไม่ได้ซับซ้อน เพราะหลักๆคือเราตั้งใจจะไปทำงานที่ใหม่กับพี่โหน่ง เพราะก่อนหน้านั้น พี่โหน่งแกก็ติดต่อมา ก็พอคุยรายละเอียดอะไร ก็คิดว่าเคมีตรงกัน ก็เลยตัดสินใจที่จะตามแกไป
ก่อนยื่นใบลาออก ได้มีการพูดคุยกันในกองบรรณาธิการยังไงถึงตัดสินใจออกยกชุด
เริ่มจากผมตัดสินใจก่อน ก็คุยกับน้องๆในทีมว่าพี่จะออกไปทำที่ใหม่นะ เพราะ The Momentum ไม่ใช่ผมคนเดียว แต่เป็นทีมงานทุกคนช่วยกันต่อจิ๊กซอว์ ผมก็ให้เค้าเลือกเองว่าจะไปต่อด้วยกันมั้ย ถ้าไม่อยาก ก็แล้วแต่เค้า พอทั้งหมดตัดสินใจ ก็เข้าสู่กระบวนการแจ้งผู้บริหาร ทางนั้นก็รับทราบเรื่องตลอด การที่ตัดสินใจมาด้วยกัน ส่วนหนึ่ง ผมคิดว่าเพราะภารกิจของเรายังไม่จบด้วย และก็อยากจะทำให้มันดีขึ้น
ความรู้สึกที่เกิด เมื่อต้องทิ้ง The Momentum ไป
เอาจริงๆมันไม่สนุกหรอกครับ ผมกล้าพูดได้ว่าในประเทศไทย ผมคือหนึ่งคนในที่รัก The Momentum มากที่สุด ผมสร้างขึ้นมากับมือและก็เสียดายมันมาก จนมีช่วงดรามาอยู่หลายวันเหมือนกัน แล้วทุกคนก็รู้ว่าจากนี้จะเป็นช่วงเวลาผลิดอกออกผลอย่างแท้จริง มีคนพูดถึง ลูกค้าเข้ามา คนอ่านให้ความไว้วางใจ หลังจากนี้มันจะถีบตัวขึ้นไปเรื่อยๆแล้ว เพราะแบรนด์มันเริ่มติดตลาด เทียบกับช่วง 2-3 เดือนแรกที่เราสู้กันหนักมาก หลังจากประกาศออกไป ทุกคนที่เจอผมก็ถามว่าทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้ ไม่เสียดายเหรอ แต่ผมคิดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรา
6 เดือนที่่ผ่านมา พอใจกับ The Momentum ระดับไหน
ก็รู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรเยอะ ถามว่าพอใจมั้ย ผมว่าเหนือความคาดหมาย เพราะไม่คิดว่าจะมาได้ขนาดนี้เหมือนกัน คือตอนที่กระแสมันมาดี เราก็ไม่ได้ล่องลอยไปกับคำชม เพราะคำชมทำให้เรารู้ว่าเราทำดีแล้ว แต่คำติที่เข้ามา ก็ทำให้เรารู้ว่าต้องเก่งกว่านี้ ส่วนใหญ่ผมก็จะโฟกัสที่คำติ ว่าเพราะอะไร เราผิดพลาดตรงไหน ก็พยายามปรับปรุงให้ดีขึ้น เลยกลายเป็นว่่าเราลืมว่าจริงๆมีคนชื่นชมเรามากขนาดไหน ผมยังตกใจมากที่พอประกาศออกไป มีกระแสเข้ามาขนาดนี้ มีข่าวออกทุกสื่อ พอเห็นคอมเมนต์ต่างๆในเพจ ก็รู้สึกดีใจ ปลื้มใจมากที่ 99% เป็นการให้กำลังใจ ถามว่าผมพอใจ The Momentum รึเปล่า ก็พอใจกว่าที่คิดไว้มาก แต่ยังสิ่งที่เราต้องทำอีกมากจากนี้ ก็จะพยายามต่อไป
ปลายทางต่อไปของคุณเคน จะมีอะไรที่แตกต่างจาก The Momentum บ้าง
ก็เป็นสำนักข่าวออนไลน์ The Standard ครับ จะเปิดตัวในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ รายละเอียดอาจจะยังไม่ชัดมาก แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นสำนักข่าวที่ช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้วงการสื่อสารมวลชนบ้างไม่มากก็น้อย เราคงไม่ทำแค่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนโลโก้แล้วทำแบบเดิม ตัวคนทำงานก็คงเบื่อ เราคาดหวังว่ามันออกมาแล้วจะต้องสร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนที่รอเราอยู่ได้รับสิ่งที่ดีกลับไป แต่ตอนนี้คงยังบอกอะไรมากไม่ได้ เพราะยังอยู่ในช่วง working process ครับ
เท่ากับว่า 3 เดือนจากนี้ จะยังไม่มีผลงานของทีมงานชุดนี้ออกมา
ครับ อาจจะมีให้สัมภาษณ์ถึงบ้าง หรือทีเซอร์เล็กๆน้อยๆ แต่เบื้องต้นยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ช่วงนี้เราก็ก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อให้มันออกมาสมกับที่ทุกคนคาดหวัง เราอยากให้มันเป็นมาตรฐานใหม่ ให้สังคมได้รับประโยชน์จากเรามากที่สุด สโลแกนคร่าวๆก็คือ The Standard “Stand Up for People” ที่เราเน้นคำว่า stand เพราะอยากย้ำว่าเรายืนอยู่ข้างประชาชน ส่วนรายละเอียดอื่นก็คงรอโอกาสต่อๆไปครับ
มุมมองที่มีต่อสื่อใหม่ (fb/youtube/website) รวมถึงสื่อเดิม ทีวี/วิทยุ/นิตยสารและหนังสือพิมพ์ ว่าจะก้าวต่อไปทางไหน
ในภาพรวม ก็คงไม่ต่างจากต่างประเทศมาก คือจะเปลี่ยนผ่านไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น อย่างคุณวู้ดดี้ (วุฒิธร มิลินทจินดา) ที่ประกาศเลิกทำทีวี หรือช่องต่างๆที่หันมาเล่นกับ FB live มากขึ้น สื่อออนไลน์ก็เยอะมากขึ้น ทุกคนก็คงมุ่งสู่เส้นทางสายนี้มากขึ้น แต่สิ่งพิมพ์ ทีวี วิทยุคงยังไม่ตาย เพียงแต่ต้องปรับตัว ผมว่าทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องปรับตัวแล้ว
ในฐานะที่คุณเคนก็จัดรายการที่ Voice TV ด้วย มีความเห็นถึงกรณีบทลงโทษจากบอร์ด กสท. ยังไงบ้าง
ผมว่าสิ่งที่ Voice ทำ ก็ยืนอยู่บนพื้นฐานของการแสดงความคิดเห็น เพียงแค่ไม่เป็นไปตามความต้องการของรัฐบาลเท่านั้น ในฐานะคนทำสื่อด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นผมว่าเป็นเรื่องน่าเศร้านะ สมาคมนักข่าวฯก็แสดงจุดยืนถึงเรื่องนี้ว่าไม่เห็นด้วย แต่ในอีกมุมจากที่ได้คุยกับคนที่วอยซ์ ก็กลายเป็นว่านี่คือโอกาสในการทำรายการออนไลน์ไปแทน ไปๆมาๆ คนหันมาสนใจ Voice TV มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้กำกับเรื่องความถูกต้องจะดีกว่า เราว่ากันด้วยข้อเท็จจริง ส่วนเรื่องข้อคิดเห็น ผมว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชาติที่มีเสรีภาพในการแสดงออก