ปัจจุบัน ฟินเทคกลายเป็นเทรนด์ที่ต้องจับตามองในวงการสตาร์ทอัพไปแล้ว
เพราะศักยภาพในการเติบโต และโอกาสที่แทบไม่มีข้อจำกัดในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆสำหรับบริการด้านการเงิน
ยิ่งในปัจจุบัน ข้อมูลและกระบวนการต่างๆนั้นมีพร้อมอยู่แล้ว การสร้างผลิตภัณฑ์/บริการใหม่ๆจึงทำได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองประสบการณ์ในการทำธุรกรรมของลูกค้าได้อย่างเต็มที่
และนี่คือตัวอย่างของ 5 ฟินเทคสัญชาติอเมริกันที่มาพร้อมกับไอเดียน่าสนใจ และถูกคาดหมายว่าจะมาแรงในปีนี้…
Metromile
หลังเปิดตัวอย่างเงียบๆเมื่อสี่ปีก่อน Metromile ก็เริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น หลังระดมทุนในเดือนก.ย.ปีที่แล้ว ได้มากถึง 200 ล้านดอลลาร์
พร้อมพิสูจน์ให้เห็นว่าโมเดลการคิดค่าประกันรถยนต์ตามระยะทางที่วิ่ง ซึ่งเป็นรูปแบบที่บริษัทนำเสนอ เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น
Nabil Meralli จาก InsurTech Venture Partners VC ที่เลือกลงทุนกับ Metromile ให้ทรรศนะว่าจากนี้ ธุรกิจประกันจะมีแนวโน้มปรับเข้าหาพฤติกรรมของลูกค้าในแบบเฉพาะทาง (customized) มากขึ้น โดยยึดจากฐานข้อมูลที่เก็บไว้ นั่นคือถ้าคุณขับรถมาก ความเสี่ยงก็เพิ่ม ก็ควรต้องจ่ายค่าเบี้ยสูงกว่าคนที่จอดรถไว้กับบ้านเป็นส่วนใหญ่
Cadre
เป็นแพลทฟอร์มมาร์เก็ตเพลส ที่เปิดให้นักลงทุนและเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ สามารถลงทุนและทำธุรกรรมต่างๆ ด้วยบริการเต็มรูปแบบทางออนไลน์ โดยเน้นกลุ่มตลาดบนที่มีรายได้สูงเป็นหลัก
2 ใน 3 ผู้ก่อตั้ง Cadre คือพี่น้อง Josh และ Jared Kushner จาก Kushner Properties ที่คลุกคลีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานาน และยังเป็นเจ้าของตึก Puck Building ในย่านโซโหของนิวยอร์คด้วย ขณะที่ Ryan Williams ซีอีโอของบริษัท ก็ผ่านการทำงานให้ Goldman Sachs และ The Blackstone Group มาก่อน
Stash
แอพพลิเคชั่นสำหรับจัดการการลงทุนในสมาร์ทโฟน ที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 3 แสนรายหลังเปิดตัวได้ไม่นาน
จุดเด่นของ Stash เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ ‘Start small, think big’ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้เริ่มต้นลงทุนได้ ด้วยเงินขั้นต่ำแค่ 5 ดอลลาร์
เสริมด้วยคำสั่งต่างๆในออปชั่นที่ไม่เป็นศัพท์นักลงทุนจนเกินไป อย่าง ‘Roll With Buffett’ หรือ ‘Social Media Mania’ ซึ่งช่วยดึงดูดบรรดามือใหม่ให้กล้าเข้ามาทดลองใช้งานมากขึ้น
Tilt
โซเชียลเน็ตเวิร์คที่มีองค์ประกอบหลัก ทั้งการโอนเงินผ่านมือถือแบบคนต่อคน (peer to peer payment) แพลทฟอร์มช่วยจัดงานอีเวนท์ (แบบ Eventbrite) และการระดมทุน (fund raiser) จนกลายเป็นแอพยอดนิยมของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของสหรัฐ
ในกรณีที่ต้องการใช้เพื่อการค้า เช่นการขายเสื้อหรือตั๋ว Tilt จะชาร์จค่าใช้บริการส่วนหนึ่ง แต่จะไม่มีค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ด้วยบริการที่หลากหลายทำให้ Tilt ถูกมองว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่งของผู้บุกเบิกการโอนเงิน peer to peer อย่าง Venmo ในอนาคต
Cross River Bank
การปรับตัวของธนาคารระดับชุมชน ที่เห็นช่องทางการตลาดที่บรรดาฟินเทคยังต้องพึ่งพาโครงสร้างระบบธนาคารแบบดั้งเดิมในการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ จนเป็นที่มาของความร่วมมือกับ Affirm, Google Wallet และ Rocket Loans
และแม้ว่าในอนาคต อาจมีแก้ตัวกฎหมายให้ฟินเทคมีอิสระในการทำธุรกรรมต่างๆมากขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งระบบธนาคาร Gilles Gade ซีอีโอของ Cross River ก็ยังเชื่อว่าธนาคารสามารถปรับตัวไปให้บริการในรูปแบบอื่นได้ เช่น การเปิดคอร์สสอนกฎเกณฑ์ทางการเงิน ฯลฯ
SOURCE: FAST COMPANY
หากมีข้อแนะนำ สามารถคอมเมนท์ได้ในเพจ AHEAD.ASIA และอย่าลืมกด like เพื่อให้คุณไม่พลาดทุกเรื่องที่ทำให้เราทุกอยู่ข้างหน้าพร้อมๆกัน