Netflix

เมื่อ Blockbuster เมิน Netflix

ทุกครั้งที่เอ่ยถึงความตกต่ำของ Blockbuster ผู้ให้บริการเช่าวิดีโอและดีวีดียักษ์ใหญ่จากยุค 90 หนึ่งชื่อที่มักถูกหยิบมาประกบคู่มวยเสมอ คือมือวางอันดับหนึ่งในธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งยุคปัจจุบัน – Netflix

 

ยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจสตรีมมิ่ง

ณ ปัจจุบัน Netflix ยิ่งใหญ่ขนาดไหนนั้น ลองดูได้จากข้อมูลเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีผู้สมัครใช้บริการทั่วโลก อยู่ที่ 117.6 ล้านคน

และทั้งหมดใช้เวลาในการรับชมต่อสัปดาห์ รวมกันที่ราว 1,000 ล้านชั่วโมง

หรือเฉลี่ยง่ายๆว่า ในหนึ่งสัปดาห์ แต่ละคนใช้เวลาราว 8.5 ชั่วโมง คิดเป็น 1.2 ชั่วโมงต่อวัน อยู่หน้าจอ เพื่อชมคอนเทนต์ของบริษัท

ขณะที่รายได้ของบริษัท เฉพาะในปี 2017 นั้น สูงถึง 11,690 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทย กว่า 3 แสนล้านบาท

 

ก้าวที่ผิดพลาดของ Blockbuster

 

 

ส่วนเหตุผลหลักๆที่เรื่องราวระหว่าง สองบริษัทนี้ถูกหยิบยกมาพูดถึง ในฐานะกรณีศึกษาคลาสสิคเสมอ

คือการที่ Blockbuster ปฏิเสธที่จะซื้อกิจการของ Netflix ในปี 2000 ก่อนที่ชะตาของบริษัทจะพลิกผันแบบคนละขั้วในเวลาต่อมานั่นเอง

เพราะย้อนไปในช่วงที่ธุรกิจเช่าวิดีโอ (และดีวีดี) บูมถึงขีดสุด ต้นทศวรรษที่ 90

Blockbuster เคยมีสาขาถึง 9,904 แห่งทั่วโลก กับรายรับปีละ 5,900 ล้านดอลลาร์

เคล็ดลับความสำเร็จในช่วงแรกของ Blockbuster คือการการันตีว่าทุกสาขาจะมีภาพยนตร์เรื่องที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น พร้อมให้เช่า

แต่ ‘สูตรสำเร็จ’ ที่ใช้ได้กับยุคสมัยหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าจะได้ผลไปตลอดกาล

เพราะการยึดมั่นกับวิธีเดิมจนเกินไป ทำให้ Blockbuster ปรับตัวไม่ทันกระแสโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วได้

และเลวร้ายถึงขั้นกลายเป็นอดีตไปในที่สุด

 

50 ล้านดอลลาร์ที่ถูกเมิน

 

John Antioco คิดไม่ถึงว่าบริษัทเล็กๆที่เคยปฏิเสธไป จะย้อนกลับมาโค่น Blockbuster จากบัลลังก์

 

และขณะนั้น Netflix ยังเป็นเพียงสตาร์ทอัพเล็กๆที่มาพร้อมบริการให้เช่าและส่งดีวีดีทางไปรษณีย์ (DVD-by-mail)

ด้วยความที่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก บริษัทจึงมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน

ทางออกในความคิดของ Reed Hastings ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง คือขายธุรกิจให้กับ Blockbuster ในราคา 50 ล้านดอลลาร์

แลกกับการช่วยพัฒนาระบบออนไลน์ และส่งดีวีดีผ่านทางไปรษณีย์ให้กับ Blockbuster

แต่การเจรจาไม่เป็นผล เมื่อ John Antioco ซีอีโอของ Blockbuster ในตอนนั้น เชื่อว่า business model ของตน (ให้ลูกค้ามาเช่าที่ร้าน) คือรูปแบบการทำธุรกิจที่ดีที่สุด

เขาหัวเราะเยาะข้อเสนอของ Hastings กับพรรคพวก ระหว่างการพูดคุยในออฟฟิศของ Blockbuster ที่เท็กซัส

โดยไม่ได้มองถึงอนาคตว่า “เกมธุรกิจ” กำลังจะเปลี่ยนไป

“พวกเขามองเราเป็นแค่ธุรกิจเฉพาะกลุ่มเล็กๆ แต่การที่พวกเขาไม่ใส่ใจธุรกิจนี้ มันกลายเป็นความได้เปรียบสำหรับเรา” Barry McCarthy อดีตซีเอฟโอของ Netflix ย้อนอดีต

 

เวลาเปลี่ยน เกมเปลี่ยน

แม้ในเวลาต่อมา Blockbuster จะพยายามเดินตามในธุรกิจ DVD-by-mail และเปิดคีออสก์สำหรับให้เช่าดีวีดีบ้าง

แต่สถานะในเวลานั้น ก็ตกเป็น “ผู้ตาม” ไม่ใช่ “ผู้นำ” อีกต่อไป

เมื่อเทคโนโลยีด้านอินเตอร์เน็ตพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรม DVD เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำ

Hastings และทีมงาน เล็งเห็นอะไรบางอย่าง จึงเริ่มทดลองให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งผ่านอินเตอร์เน็ต

และค่อยๆขยับมาสู่การเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ด้วยตัวเอง กับซีรีส์ต่างๆที่เรียกว่า “Netflix Original” บริษัทก็โด่งดัง จนราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์พุ่งสูงอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ Blockbuster ก็ยังดื้อแพ่ง ไม่รีบปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลง

กอปรกับความผิดพลาดในการซื้อธุรกิจอื่นๆ ทั้ง Enron Broadband หรือ Circuit City ที่ล้มละลาย

ก็ยิ่งฉุดให้การเงินของบริษัทระส่ำหนัก กระทั่งต้องยื่นเรื่องขอล้มละลายตามมาตรา 11 ในปี 2010

 

ชะตาที่แตกต่าง

 

 

ขณะที่ Netflix ซึ่งมีมูลค่าเพียง 50 ล้านดอลลาร์ในการเสนอขายเมื่อ 17 ปีก่อน

ปัจจุบัน รั้งอันดับ 5 Innovative Companies ในการจัดอันดับโดย Forbes ด้วยมูลค่า 61,600 ล้านดอลลาร์

หรือเพิ่มจากวันนั้นถึง 1,232 เท่า

ส่วน Blockbuster แม้ยังไม่ถึงกับสูญพันธุ์ แต่ก็เหลือสาขาไม่กี่แห่ง ในรัฐอลาสกา พื้นที่เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกรานของ Netflix

เพราะเป็นแถบที่ค่าบริการอินเตอร์เน็ตสูงที่สุด จนการดูวิดีโอแบบสตรีมมิ่งไม่คุ้มค่า เท่ากับการขับรถไปเช่าจากร้านเท่านั้น

 

คู่แข่งตัวจริง

 

 

ตัดกลับมา ณ ปัจจุบัน เมื่อผู้สื่อข่าวตั้งคำถามกับ Hastings ว่า “ใครคือคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดขอบริษัท?”

คำตอบจากซีอีโอรายนี้ กลับไม่ใช่ AmazonPrime หรือ HBO อย่างที่หลายคนคิด

“การนอนหลับ” ของผู้บริโภคต่างหาก คือศัตรูตัวฉกาจของยักษ์ใหญของธุรกิจสตรีมมิ่ง

เพราะปกติ คนเรามักมีตารางเวลาที่ตายตัวอยู่แล้วในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเวลาทำงานหรือเวลาเรียน

ส่วนที่เหลือจึงเป็นเวลาว่างในการทำกิจกรรมอื่นๆ และนอน

โจทย์ของพวกเขา จึงอยู่ที่ต้องทำยังไง เพื่อดึงให้ผู้บริโภค ยอมสละเวลาเหล่านั้น หันมาใช้เวลากับคอนเทนท์ของตนมากที่สุด

และวิธีที่ดีที่สุด ก็คือต้องทำคอนเทนท์ให้สนุกและน่าติดตามที่สุด จนอยากดูต่อเนื่องชนิดลืมวันลืมเวลา

อย่างที่หลายคนกำลังติดงอมแงมอยู่กันตอนนี้นั่นเอง

 

เรียบเรียงจาก

10 Worst Business Decisions Ever Made

Epic Fail: How Blockbuster Could Have Owned Their Biggerst Enemy

Blockbuster has survived in the most curious of places — Alaska

Worst Company Disasters! | Top 6 Blunders

 

อ่านเพิ่มเติม

Blockbuster จ่อสูญพันธุ์ ในสหรัฐเหลือสาขาเดียว

10 การตัดสินใจทางธุรกิจสุดเฟล

เน็ตฟลิกซ์ มูลค่าแตะแสนล้านดอลลาร์

ดิสนีย์ vs เน็ตฟลิกซ์: เมื่อพันธมิตรกลายเป็นคู่แข่ง

 

AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า

Subscribe to Our Newsletter

Loading
Total
0
Shares
Previous Article

David Roberts: ไม่มีใครหนีพ้น Disruption

Next Article

Salim Ismail: พร้อมรับ Disruption

Related Posts