Disney vs Netflix: เมื่อพันธมิตรกลายเป็นคู่แข่ง

ไม่นานมานี้ Walt Disney Co. ใช้เงิน 1,600 ล้านดอลลาร์ ซื้อหุ้นของ BamTech LLC. บริษัทด้านเทคโนโลยีสตรีมมิ่ง เพิ่มอีก 42% รวมแล้วในปัจจุบัน พวกเขาถือหุ้นของ BamTech มากถึง 75%

เป็นสัญญาณเบื้องต้นว่าแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในธุรกิจบันเทิง เตรียมเบนเข็มสู่การสตรีมมิง และ video on demand อย่างเต็มตัว

ในเดือนสิงหาคม Disney เพิ่งประกาศยุติความร่วมมือกับ Netflix หลังหมดสัญญาฉบับปัจจุบันและเตรียมให้บริการสตรีมมิ่งคอนเทนท์ ผ่านแพลทฟอร์มของตนเอง ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป

..
.
ความเคลื่อนไหวของ Disney และอีกหลายๆองค์กร (AT&T เริ่มเปิดเจรจาควบรวมกิจการกับ Time Warner) บ่งบอกชัดเจนว่าช่องทางของสื่อแบบเดิม กำลังถูก disrupt ไปสู่รูปแบบใหม่

เห็นได้จากยอดผู้ชมสื่อในลักษณะ direct-to-consumer อย่าง Netflix เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เฉพาะในสหรัฐนั้น มีผู้ลงทะเบียนใช้งานมากถึง 104 ล้านราย หรือเกือบๆครึ่งหนึ่งของจำนวนครัวเรือนในประเทศ

สวนทางกับยอดสมาชิกเคเบิลทีวีที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ

ขณะที่ผู้เล่นรายอื่นๆ อาทิ Amazon, Google, Apple หรือแม้แต่ Facebook ก็เริ่มต้นสร้างคอนเทนท์ของตัวเองสำหรับแพร่ภาพทางออนไลน์แล้วเช่นกัน

..
.
กรณีระหว่าง Disney และ Netflix นั้น ไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าทำไมถึงตกลงแยกทางกัน

เพราะการที่ Netflix เติบโตมาถึงจุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคอนเทนท์สำหรับเด็กจาก Disney และบริษัทในเครือ อย่าง Pixar

ขณะที่ Disney นั้น นักวิเคราะห์ก็คาดว่า น่าจะมีรายได้จากไลเซนส์ที่ขายให้ Netflix ต่อปี ระหว่าง 220-300 ล้านดอลลาร์

แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าในระยะหลัง Netflix ไม่ได้หยุดตัวเองไว้เพียงแค่การเป็นแพลทฟอร์ม แต่ยังก้าวข้ามมาเป็นผู้ผลิตคอนเทนท์เอง

และหลายรายการที่ Netflix ผลิต ก็เป็นไปในลักษณะ ‘คู่แข่ง’ โดยตรงกับซีรีส์สำหรับเด็กของ Disney

นอกจากนี้ ยังเริ่มมีการดึงตัวบุคลากรสำคัญของอีกฝ่ายไปร่วมงานด้วย

หนึ่งในนั้นคือ Shonda Rhimes โปรดิวเซอร์ของ ABC Studios ในเครือของ Disney ที่อยู่กับองค์กรมานานกว่า 15 ปี

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ Michael Olson นักวิเคราะห์ consumer internet เชื่อว่า Netflix เล็งเห็นแล้วว่าตนแข็งแรงพอจะอยู่ได้ด้วยตัวเอง

โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา Disney อีกต่อไป

..
.
ในทางกลับกัน ก็มีคำถามว่า Disney ต้องการ Netflix หรือไม่

หากพิจารณาว่าการที่ผู้บริโภคยอมจ่ายเงิน เป็นเพราะต้องการคอนเทนท์ ไม่ใช่เพียงเพราะความสะดวกในการเข้าถึงของแพลทฟอร์ม

และเมื่อมีคอนเทนท์อยู่แล้วในมือ Disney ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจเคเบิลทีวี ก็เพียงแค่หาช่องทางใหม่ในการเผยแพร่

หรือไม่งั้นก็สร้างโมเดลแบบ direct-to-consumer ขึ้นมาเอง อย่างที่กำลังจะทำ

..
.
Doug Creutz นักวิเคราะห์จาก Cowen & Company มองว่าการก้าวสู่ธุรกิจสตรีมมิ่งด้วยตัวเองของ Disney นั้น ออกได้ทั้งหัวและก้อย

หากทำสำเร็จ ก็ไม่ต่างอะไรกับการกินรวบโดยไม่ต้องแบ่งใคร

แต่การเข้าสู่ธุรกิจนี้ในฐานะผู้ตาม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายครองตลาดไว้หมดแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะเจาะเข้าไปเพื่อแชร์ส่วนแบ่ง

ที่สำคัญ นักลงทุนส่วนใหญ่มีปัญหากับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น

ไม่นานหลังการประกาศแยกทางกับ Netflix ราคาหุ้นของ Disney ก็ตกลงจาก 110 เหรียญ เหลือ 102 เหรียญทันที

แต่ Kevin A. Mayer ประธานฝ่ายพัฒนาด้านความร่วมมือทางกลยุทธ์และธุรกิจของ Disney ยังเชื่อว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้น เอื้อให้ผู้บริโภคเข้าถึงคอนเทนท์ได้ง่ายกว่าในอดีตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด

นั่นยิ่งทำให้คอนเทนท์มีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา (content is more king than ever)

และคอนเทนท์ในแบบฉบับของ Disney จากสตูดิโอในเครือ ทั้ง Pixar, Marvel และ Lucas Films ก็พิสูจน์ให้เห็นมานักต่อนักแล้วว่าแข็งแรงเกินกว่าผู้บริโภคจะปฏิเสธได้ลง

เรียบเรียงจาก

Disney, Ditching Netflix, Grabs a New Key to the Kingdom

Cord cutters, revel: It’s a battle royal between Netflix, Amazon, Disney, TV

Netflix depends less and less on licensed content from the likes of Disney

AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า

Subscribe to Our Newsletter

Loading
Total
0
Shares
Previous Article

เร่งโตให้สตาร์ทอัพของคุณกับ Durian Corp

Next Article

5 เหตุผลที่คุณไม่ควรพลาด Slush Singapore

Related Posts