สำนักข่าว บีบีซี เผยว่าเมื่อเร็วๆนี้ สาขาหนึ่งของ Starbucks ในบัวโนส ไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ถูกแฮ็คเกอร์เจาะระบบ wi-fi ในร้าน เพื่อเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของลูกค้าคนอื่นๆ และใช้ในการขุดสกุลเงินดิจิทัล ‘Monero’
ไม่มีการยืนยันว่ามัลแวร์ที่แฮ็คเกอร์รายนี้ใช้ในการเจาะระบบ wi-fi ของสาขาดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และส่งผลเสียต่อคอมพิวเตอร์ของลูกค้าในร้านมากแค่ไหน
กระทั่ง Noah Dinkin ผู้บริหารของบริษัทเทคโนโลยีจากนิวยอร์ค ได้เข้าไปใช้บริการในร้าน และพบความผิดปกติดังกล่าว ก่อนทวีตข้อความเตือนทางร้านให้ทำการแก้ไข เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
Hi @Starbucks @StarbucksAr did you know that your in-store wifi provider in Buenos Aires forces a 10 second delay when you first connect to the wifi so it can mine bitcoin using a customer’s laptop? Feels a little off-brand.. cc @GMFlickinger pic.twitter.com/VkVVdSfUtT
— Noah Dinkin (@imnoah) December 2, 2017
“ทันทีที่เราทราบปัญหาดังกล่าว ทางบริษัทก็ได้ดำเนินการร่วมกับผู้ให้บริการทันทีเพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าของทางร้านสามารถใช้งานได้ตามปกติ” โฆษกของ Starbucks กล่าวกับ บีบีซี
การถอดรหัสเพื่อเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลนั้น จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์ (อาจเป็น CPU หรือการ์ดจอ) ที่มีประสิทธิภาพสูงในการขุด ซึ่งอาจต้องใช้เงินทุนสูง จึงมีนักขุดบางรายใช้วิธีการแฮ็คเข้าไปสั่งงานคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นเพื่อเพิ่มโอกาสของตัวเอง ด้วยวิธีนี้ กลุ่มเป้าหมายของแฮ็คเกอร์จึงมักเป็นผู้ที่คลิกเข้าไปใช้งานเว็บไซต์ที่ถูกฝังมัลแวร์เอาไว้
ขณะที่การลอบฝังมัลแวร์ไว้ใน wi-fi hotspot ก็เป็นรูปแบบล่าสุดที่ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้เตือนให้ร้านค้าต่างๆ เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ด้วยการหมั่นอัพเดทซอฟต์แวร์สม่ำเสมอ ขณะที่ผู้ใช้งานทั่วไปก็ควรพิจารณาให้ดีก่อนล็อกอินเข้าสู่ระบบ wi-fi สาธารณะ
สำหรับสตาร์ทอัพ และใครที่ต้องการพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่ข้างหน้าเสมอ สามารถกด like เพจ AHEAD.ASIA เพื่อติดตามเรื่องราวที่มีประโยชน์ และข่าวสารกิจกรรมที่น่าสนใจได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน