จากสกู๊ป The Billionaire Dropouts ที่นำเสนอไปแล้ว
ทีมงาน AHEAD.ASIA เห็นว่าถ้าจะนำเสนอแค่ด้านเดียว คงไม่เหมาะ
เพราะถ้าลองเช็กประวัติสุดยอดผู้ประกอบการ หรือผู้บริหารชั้นนำหลายคน
จะพบว่ากลุ่มที่เรียนดี หรือตั้งใจเรียน ก็ประสบความสำเร็จได้ไม่น้อยหน้ากัน
หรือบางคนอาจจะ “ยิ่งกว่า” ด้วยซ้ำ
เพราะหนึ่งในนั้นคือผู้ชายที่รวยที่สุดในโลกคนปัจจุบัน
ฉะนั้น อย่าด่วนสรุปว่าเรียนไปทำไม เพราะคนเหล่านี้มีคำตอบในอีกมุมให้กับคุณเช่นกัน
Jeff Bezos
ธุรกิจ: Amazon
มูลค่า: 114,200 ล้านดอลลาร์
“ชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปคลุกคลีกับคนหัวทึบ” – Jeff Bezos
ว่ากันว่า ความอยากรู้อยากเห็นของ “ผู้ชายที่รวยที่สุดในโลก” คนปัจจุบันนั้น มีมากขนาดเคยพยายามใช้ไขควงแยกชิ้นส่วนเปลที่ตัวเองนอนตั้งแต่ยังเล็ก
ส่วนสมัยเรียน ม.ปลาย เจ้าตัวก็ได้รับเลือกให้เข้าร่วมในการอบรม Student Science Training Program หนึ่งในโปรแกรมอบรมสำหรับนักเรียนนักศึกษาระดับหัวกะทิ ที่จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยฟลอริดา
จากนั้น เมื่อเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ พรินซ์ตัน Bezos ก็ยังเหนือกว่าคนอื่นๆ ด้วยการเรียนจบพร้อมปริญญาสองใบ คือวิศวกรรมไฟฟ้า และวิทยาการคอมพิวเตอร์
พร้อมด้วยรางวัลจากสมาคม Phi Beta Kappa และ Tau Beta Pi ของนิสิตมหาวิทยาลัยชั้นนำในอเมริกา
แม้ในช่วงแรกของการทำงาน Bezos จะไม่ได้นำวิชาเหล่านี้มาใช้งานโดยตรง
แต่ท้ายที่สุด ความสนใจในคอมพิวเตอร์ของเจ้าตัว ก็ทำให้เจ้าตัวเชื่อมั่นในพลังของอินเตอร์เน็ต จนตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่มั่นคง เพื่อมาก่อตั้ง Amazon ขึ้น
และค่อยๆปั้นจนกลายเป็นอีคอมเมิร์ซชั้นนำของโลกอย่างในปัจจุบัน
Jack Ma
ธุรกิจ: Alibaba
มูลค่า: 39,200 ล้านดอลลาร์
“มีผลการเรียนปานกลางก็เป็นเรื่องดี เพราะมีแต่คนกลุ่มนี้ที่จะมีเวลาว่างมากพอสำหรับเรียนรู้ทักษะอื่นๆเพิ่มเติม” – Jack Ma
Jack Ma คือตัวอย่างของคนที่เห็นคุณค่าของการศึกษา และการเรียนรู้มากที่สุดคนหนึ่ง
เขาสอบตกในระดับประถมสองครั้ง มัธยมสามครั้ง และสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยอีกสองครั้ง แต่ก็ไม่เคยคิดจะหันหลังให้กับการเรียน
นั่นไม่ได้แปลว่า Ma ไม่มีความเก่งใดๆเลย
เขาหลงใหลภาษาอังกฤษจนขวนขวายเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตัวเอง ผ่านการอาสาเป็นไกด์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และส่งจดหมายพูดคุยกับคนเหล่านั้นในรูปของเพนเฟรนด์ พร้อมกับเรียนรู้เรื่องราวของโลกภายนอกไปในตัว
สุดท้าย Ma ก็เรียนจบปริญญาตรีด้านภาษาอังกฤษจากวิทยาลัยครูหางโจว
และกลายเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ และการค้าระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยหางโจวเตี้ยนจื่อ นานถึง 5 ปี ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจของตัวเอง
ซึ่งพัฒนามาเป็น Alibaba ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของประเทศในเวลาต่อมา
Michael Jordan
ธุรกิจ: นักบาสเกตบอลอาชีพ / เจ้าของทีม ชาร์ลอตต์ ฮอร์เน็ตส์
มูลค่า: 1,650 ล้านดอลลาร์
“ผมได้อะไรจากการเรียนในมหาวิทยาลัยมากกว่า แค่โอกาสในการเป็นผู้เล่นอาชีพ ผมได้เจอคนทุกประเภท ได้เดินทาง หาเลี้ยงตัวเอง เรียนรู้ชีวิต เก็บเกี่ยวไอเดียใหม่ๆ มันเป็นอีกโลกที่ต่างจากบาสเกตบอลโดยสิ้นเชิง” – Michael Jordan
MJ คือผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการบาสเกตบอล NBA
ด้วยตำแหน่งแชมป์ 6 สมัย และ MVP ในรอบชิงชนะเลิศ6 สมัย ระหว่างปี 1991-1998 และติดทีมออลสตาร์ ถึง 14 ครั้ง กับ ชิคาโก บูลล์ส พ่วงด้วยรางวัลอื่นๆอีกมากมาย
ไม่ใช่แค่ผลงานในสนาม MJ ยังเป็นผู้เล่น NBA คนแรก ที่มีทรัพย์สินระดับหลักพันล้านดอลลาร์ (Billionaire)
และเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสามของสหรัฐ ถัดจาก Oprah Winfrey และ Robert F. Smith
Jordan ดร็อปเรียนจากม.นอร์ธ แคโรไลนา ตอนปีสาม เพื่อเข้าสู่การดราฟต์ และถูกเลือกโดย บูลล์ส ในปี 1984 และคว้ารางวัลรุกกี้แห่งปีไปครองทันที
อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวก็ยังหวนกลับมาเรียนต่อจนจบอีกครั้งในสองปีถัดมา
Elon Musk
ธุรกิจ: SpaceX, Tesla, Solar City
มูลค่า: 18,000 ล้านดอลลาร์
“สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมอยากมีส่วนร่วมในสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ และตอนนี้ ผมก็มาถึงจุดนั้นแล้ว” – Elon Musk
Elon Musk มักจะเน้นอยู่เสมอว่าเรื่องวุฒิบัตรหรือใบปริญญาไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แต่นั่นไม่ได้แปลว่า เขาไม่ใส่ใจกับการศึกษา
ตรงกันข้าม CEO ของ Tesla และ SpaceX ยังตั้งโรงเรียนชื่อ Ad Astra เพื่อสอนลูกๆทั้งห้าคน รวมถึงคนใกล้ชิดในแนวทางที่เขาเชื่อว่าถูกต้องด้วย
ในวัยเด็กที่แอฟริกาใต้ Musk นั้นไม่มีความสุขกับที่โรงเรียนนัก เพราะมักถูกเด็กคนอื่นๆแกล้ง
แต่หลังย้ายมาใช้ชีวิตและเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่แคนาดาและสหรัฐ เขาจบปริญญาตรีถึงสองใบ คือด้านฟิสิกส์ และเศรษฐศาสตร์ จาก วอร์ตัน สคูล
และทั้งสองสาขานี้ ก็เป็นรากฐานสำคัญสำหรับบริษัทต่างๆที่เขาก่อตั้งขึ้น หรือมีส่วนร่วมในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็น PayPal, Tesla, SpaceX, Solar City ฯลฯ
“ฟิสิกส์ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับการคิด การเจาะลึกลงไปยังความจริง และเหตุผลพื้นฐานต่างๆ” Musk ที่เลิกเรียนระดับปริญญาโท หลังเข้าคลาสได้เพียงสองวัน กล่าว
Anthony Tan
ธุรกิจ: Grab
มูลค่า: 6,000 ล้านดอลลาร์
“คุณต้องรู้ให้ชัดว่าคุณสร้างมันขึ้นมาได้ยังไง ถ้าคุณสร้างมันขึ้นมา แล้วสอนหรืออธิบายให้ใครฟังไม่ได้ อย่าลงมือทำ” – Anthony Tan
Anthony Tan CEO และผู้ก่อตั้ง Grab เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุหกขวบ
และเริ่มธุรกิจแรกตอนอายุ 11 ขวบ คือการซื้อขายหนังสือการ์ตูน X-Men มือสอง จนนำไปสู่การทดลองทำธุรกิจหลายๆอย่างในเวลาต่อมา
แต่ไอเดียและธุรกิจของ Tan ที่ประสบความสำเร็จที่สุดนั้น เกิดขึ้นระหว่างที่เจ้าตัวเป็นนักศึกษาปริญญาโทของ ม.ฮาร์วาร์ด
คือบริการเรียกแท็กซี่ที่สะดวกและปลอดภัยผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ซึ่งพัฒนาจนกลายเป็น Grab ในเวลาต่อมานั่นเอง
ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา Grab ให้ใช้งานได้จริง ระหว่างที่เรียนฮาร์วาร์ดนั้น สร้างความประทับใจให้กับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอย่างมาก
และสุดท้าย Grab ไม่เพียงจะก้าวขึ้นมาเป็น Ride-Hailing เบอร์หนึ่งของอาเซียนเท่านั้น
ยังมีแนวโน้มว่าในอนาคต จะขยายไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการกว้างกว่าแค่การเรียกรถด้วย
จากแก๊งรวยปริญญา เราลองไปดูขั้วตรงข้ามกันดีกว่า ว่าเด็กนอกห้องมีดีแค่ไหน
ใน The Billionaire Dropouts: มหาเศรษฐีนอกหลักสูตร
สำหรับเพื่อนๆที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรม และธุรกิจ และต้องการพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่ข้างหน้าเสมอ สามารถกด like เพจ AHEAD.ASIA เพื่อติดตามเรื่องราวที่มีประโยชน์ และข่าวสารกิจกรรมที่น่าสนใจได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน