Ford ประกาศทยอยระงับการขายรถประเภทซีดานในแถบอเมริกาเหนืออย่างต่อเนื่องในเร็วๆนี้ โดยจะจำกัดให้เหลือเพียง 2 รุ่นหลักอย่าง Mustang และ Focus Active โดยจะหันไปเน้นผลิตรถยนต์รูปแบบอื่นๆแทน อันเป็นผลจากแนวโน้มการใช้งานของผู้บริโภค
ในเอกสารผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ Ford ประกาศถึงแผนลดจำนวนรุ่นของรถซีดาน 4 ประตูในแถบอเมริกาเหนือ ลงเหลือแค่ 2 รุ่นหลัก ภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยให้เหตุผลว่ามาจาก“ความต้องการของผู้บริโภค และกำไรของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด”
ในรายงานฉบับเดียวกัน ระบุว่า Ford จะหันไปโฟกัสไปผลิตภัณฑ์และตลาดอื่นๆที่บริษัทสามารถแข่งขันได้เท่านั้น นั่นอาจหมายถึงในปี 2020 กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจ Ford ในแถบอเมริกาเหนือ จะเป็นเรื่องของรถบรรทุก, รถเอนกประสงค์ และรถยนต์สำหรับใช้เพื่อการพาณิชย์
“บริษัทจะไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมสำหรับเจเนอเรชั่นถัดไปในรถซีดาน ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า การขายรถซีดานของ Ford ในย่านนี้จะเหลือเพียง 2 รุ่นเท่านั้น”
ปัจจุบัน การขายรถซีดานของ Ford ในแถบอเมริกาเหนือมีอยู่เป็นจำนวน 6 รุ่น ประกอบด้วย Fiesta, Focus, Fusion, C-Max, Mustang และ Taurus แต่หลังจากการปรับเปลี่ยน จะเหลือเพียงรถสปอร์ตยอดนิยมอย่าง Mustang และตัว Compact Crossover อย่าง Focus Active ที่จะเปิดตัวในปีหน้า
ทั้งนี้ Ford ต้องการลดต้นทุนการผลิตลงกว่า 25,500 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2022 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 14,000 ล้านดอลลาร์ ที่มีการประกาศในช่วงไตรมาสที่แล้ว
AHEAD TAKEAWAY
แม้จะยังไม่ทิ้งการผลิตรถซีดานลงไปเสียทีเดียว แต่การปรับตัวครั้งนี้ของ Ford ก็นับเป็นอีกสัญญาณที่บอกว่า อุตสาหกรรมยานยนต์แบบดั้งเดิม อาจเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ถูก disrupt ด้วยเทคโนโลยี รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้ ค่ายรถหรูอย่าง BMW ก็มีการออกกลยุทธ์ใหม่ สร้างธุรกิจรถเช่า ‘Access by BMW’ ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เพื่อสร้างความดึงดูดแก่ลูกค้า ให้ไม่ต้องลงทุนเพื่อซื้อเป็นเจ้าของและไม่ต้องเสียค่าบำรุงรักษาในระยะยาว หรือทาง Porsche ก็เปิดบริการเช่ารถ ‘Porsche Passport’ มาแล้วเช่นกัน ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผลจากพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม millennials ที่ไม่นิยมลงทุนเงินก้อนเพื่อซื้อรถ (หรือบ้าน) ราคาแพง และการเดินทางทุกวันนี้มีตัวเลือกมากขึ้นแล้ว อันรวมถึง Ride-Hailing ที่เติบโตขึ้นในทุกที่
ข้อมูลจากบริษัทด้านบริหารจัดการค่าใช้จ่าย Certify ระบุว่าเฉพาะในปี 2017 ค่าใช้จ่ายในการเดินทางขององค์กรต่างๆทั่วสหรัฐ จำนวนถึง 2 ใน 3 เกิดขึั้นจากการใช้บริการ Ride-Hailing อย่าง Uber และ Lyft เหนือกว่าทั้งการเช่ารถ หรือแม้แต่ขนส่งสาธารณะรูปแบบเดิมอย่างแท็กซี่ด้วยซ้ำ
การชลอตัวเองของ Ford ไม่เน้นทุ่มงบพัฒนารถซีดานรุ่นใหม่ๆ และหันไปเน้นกลุ่มรถยนต์ใช้งานประเภทอื่น ที่ไม่ใช่รถยนต์ขนาดเล็กสำหรับใช้เดินทางในตัวเมือง อย่าง รถบรรทุก, SUV และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมถึงการหันไปทดลองธุรกิจ Delivery ในไมอามี เมื่อเร็วๆนี้ จึงน่าจะบ่งบอกแนวโน้มอะไรได้หลายๆอย่างในอนาคต
ว่าธุรกิจรถยนต์แบบเดิมๆที่เราคุ้นเคย ไม่น่าจะเหมือนเดิมอีกต่อไป เพียงแต่จะมุ่งหน้าไปทางไหนนั้น ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
เรียบเรียงจาก
Ford will stop selling most of its cars in North America
Ford to stop selling every car in North America but the Mustang and Focus Active
Ford Delivers First Quarter $1.7B Net Income
สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรมและธุรกิจ และต้องการพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่ข้างหน้าเสมอ สามารถกด like เพจ AHEAD ASIA เพื่อติดตามเรื่องราวที่มีประโยชน์ และข่าวสารกิจกรรมที่น่าสนใจได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน