Social Credit System

10 มาตรการไฮเทค (และโหด) ของจีน เพื่อ ‘Social Credit System’

คุณจะทำอย่างไรเพื่อสร้างบรรทัดฐานและค่านิยมเดียวกันทั้งประเทศ เพิ่มความมีระเบียบวินัย และมารยาททางสังคมให้คนกว่า 1,400 ล้านคน ด้วยมาตรการใด วิธีที่รัฐบาลจีนเลือก คือผลักดันการใช้นโยบายที่เรียกกันว่า ‘Social Credit System’

และเพื่อให้แนวคิดนี้บรรลุผล ทางการจีนจึงมีการใช้งานนวัตกรรมเทคโนโลยีหลายสิ่งเข้าช่วย ให้สมกับเป็นหนึ่งในชาติผู้นำทางเทคโนโลยี ตั้งแต่ Facial recognition, สปายแชท, บังคับการดาวน์โหลดแอพพลิเคชันของรัฐ ไปจนถึงการใช้หุ่นยนต์ตำรวจ ฯลฯ

ไปดูกันว่า 10 มาตรการที่ทั้งล้ำสมัยและโหดในคราวเดียวกัน เพื่อสังคมในอุดมคติของจีน มีอะไรบ้าง

 

#1
เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า

 

แม้รัฐบาลจีนจะยังไม่ได้บังคับใช้อย่างเป็นทางการ แต่อย่างน้อย 16 เมืองทั่วประเทศ มีการติดตั้งกล้อง พร้อมระบบตรวจจับใบหน้า (Facial recognition) ซึ่งสามารถสแกนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน ไม่รวมนักท่องเที่ยวจากต่างแดน ด้วยความแม่นยำถึงกว่า 99.8 เปอร์เซ็นต์ ตามข้อมูลจากสื่อของรัฐ

ระบบตรวจจับใบหน้าจากฝูงชนสามารถใช้งานได้ดี โดยมีข้อพิสูจน์แล้วจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองหนานชาง ซึ่งสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคดีทางการเงินรายหนึ่งได้ท่ามกลางผู้ชมคอนเสิร์ตของ จาง เซียะโหย่ว กว่า 50,000 คน

เพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ สำนักข่าว BBC ทดลองส่งผู้สื่อข่าวลงพื้นที่เมืองกุ้ยหยาง และพบว่า Facial recognition สามารถระบุตัวตนและเข้าถึงตัวผู้สื่อข่าวรายนี้ ได้ภายในเพียง 7 นาที และในบางกรณีก็ใช้เวลาเพียง 2 นาทีเท่านั้น

 

#2
จ้างแอดมินกลุ่มแชทให้จับตาสมาชิก

 

 

ขณะที่ในสังคมตะวันตก มีความกังวลว่า Facebook, Google หรือบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆลอบเช็กข้อมูลการสนทนาของเราหรือไม่

ในจีนนั้น แทบไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ เพราะทุกคนต้องรับรู้แล้วเข้าใจได้เลยว่า ข้อความและรูปภาพต่างๆในกรุ๊ปแชทจะไม่มีความเป็นส่วนตัวใดๆเหลืออยู่ เพราะทางการจีนว่าจ้างแอดมินผู้ดูแลกลุ่มแชทในแอพพลิเคชัน ให้จับตาการสนทนาและการระบุคอนเทนท์ใดก็ตามที่หมิ่นเหม่ต่ออาชญากรรม

การจับตานี้ แม้แต่แอพที่ต้องเข้ารหัสเพื่อใช้งาน เช่น WhatsApp ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

รัฐบาลยังได้ออกคำสั่งให้บริษัทเทคโนโลยีเฝ้าตรวจสอบและเก็บบันทึกการสนทนาไว้เป็นเวลา 6 เดือน และต้องส่งรายงานทุกการกระทำที่ผิดกฎหมายต่อเจ้าหน้าที่

 

#3
บังคับดาวน์โหลดแอพของรัฐ

 

 

ทางการจีนมีการจับตา ชาวอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ มากเป็นพิเศษ

รายงานจาก Open Technology Fund ระบุว่า รัฐบาลจีนมีการบังคับให้ประชาชนอุยกูร์ ต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชันของทางการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในโทรศัพท์มือถือ ทั้งรูปภาพ, วิดีโอ, ไฟล์เสียง, อีบุ๊ค และอื่นๆ ได้อย่างสะดวก

แอพมีชื่อว่า ‘Jingwang’ ในภาษาแมนดาริน อันมีความหมายว่า ‘ทำความสะอาดเว็บ’ ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลข้างต้นทั้งหมด เป็นไปเพื่อตรวจตราความปลอดภัย (ตามการกล่าวอ้างของทางการ)

และเมื่อพบข้อมูลเสียงหรือภาพที่เป็นอันตรายแล้ว ก็จะมีการส่งแจ้งเตือนให้เจ้าของโทรศัพท์ลบข้อมูลนั้นทิ้ง อีกทั้งตัวแอพก็จะส่งรายงานถึงเซิร์ฟเวอร์ด้านนอกด้วย

 

#4
ตรวจสอบการช็อปออนไลน์

 

 

Alibaba เคยเผยว่าบริษัทฯ จัดอันดับพฤติกรรมการทำกิจกรรมออนไลน์ของลูกค้าในแพลตฟอร์มของตน ในชื่อว่า Zhima Credit

หลี่ ยิ่งหยุน ฝ่ายเทคโนโลยีของ Zhima Credit เผยเมื่อปีก่อนว่าคนที่เล่นวิดีโอเกม 10 ชั่วโมงต่อวัน จะถูกจัดว่าเป็น ‘คนว่างงาน’ (idle person) ส่วนคนที่มีการสั่งซื้อผ้าอ้อมเด็กจะถูกจัดเป็น ‘ผู้ที่ค่อนข้างมีความรับผิดชอบ’ เมื่อส่วนใหญ่มักจะเป็นพ่อหรือแม่คน

แม้จะมีการชี้แจงเพิ่มเติมในภายหลัง ว่า Zhima Credit ไม่ได้พยายามคัดกรองพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ใช้อีกต่อไป

แต่บริษัทก็ได้ข้อมูลจำนวนมหาศาลไปจากผู้ใช้ โดย Wall Street Journal ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีของจีน ซึ่งรวมถึง Alibaba ด้วยนั้น มีหน้าที่ต้องแชร์ข้อมูลกับรัฐบาล เมื่อใดก็ตามที่มีการเรียกร้อง

 

#5
แว่นอัจฉริยะล่าคนร้าย

 

 

นอกจากการติดตั้งกล้องตรวจจับใบหน้าทั่วประเทศแล้ว บางเมืองยังมีการนำแว่นตาอัจฉริยะ Facial recognition glasses มาใช้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเชื่อมโยงเข้ากับฐานข้อมูล และสามารถระบุตัวคนร้ายได้อย่างแม่นยำ

Wu Fei ซีอีโอของ LLVision Technology ผู้พัฒนาแว่นตาดังกล่าวนี้ เผยว่าเทคโนโลยีสามารถตรวจจับบุคคลที่ต้องการในกลุ่มคนหลักหมื่นคน ในเพียงเสี้ยววินาที หรือ 0.1 วินาทีเท่านั้น

แว่นตานี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นอาชญากร ตั้งแต่คดีเล็กๆ อย่างการทำผิดกฎจราจร ไปจนถึงคดีใหญ่อย่างการค้ามนุษย์

 

#6
หุ่นยนต์ตำรวจ

 

 

ทางการเจิ้งโจว นำ ‘หุ่นยนต์ตำรวจ’ (The E-Patrol Robot Sheriff) ที่รูปลักษณ์เหมือนหลุดจากหนัง Wall-E มาทำหน้าที่ในสถานีรถไฟ เพื่อตรวจจับใบหน้าผู้ลี้ภัยที่ทางการต้องการตัว ไปจนถึงรายงานความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย, ตรวจจับสภาพอากาศ และแจ้งเตือนประชาชนหากมีเหตุไฟไหม้หรืออื่นๆ เกิดขึ้น

นอกจากหน้าที่เหล่านั้น หุ่นยนต์ตำรวจตัวแรกของจีน (และน่าจะของโลก) ยังสามารถให้คำตอบพื้นฐานกับผู้โดยสารในสถานีได้ด้วย

 

#7
เข้มงวดกับกฎจราจร

 

 

ตามที่มีการนำเสนอผ่านสกู๊ป โปลิศ 4.0 : หมดยุควิ่งไล่จับโจร ว่าปัญหาการละเมิดกฎจราจรถือเป็น ‘ปัญหาคลาสสิก’ อยู่คู่กับเมืองจีนมาหลายปีดีดัก ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องคิดค้นมาตรการใหม่ๆ มาบังคับใช้ และลงเอยที่เทคโนโลยีล้ำๆ อย่าง Facial recognition

นอกจากการระบุตัวตนแล้ว ยังมีการนำภาพผู้กระทำผิด พร้อมชื่อสกุลและหมายเลขประจำตัวบางส่วน ขึ้นแสดงที่จอ LED ซึ่งติดตั้งไว้ในบริเวณนั้น เพื่อการประจานและเสริมสร้างความรู้สึกผิดชอบชั่วดีด้วย

ตำรวจเซินเจิ้น ยังมีการนำข้อมูลผู้กระทำผิดอัพโหลดขึ้นสู่โซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ ส่วนที่ฝูโจว ตำรวจจะแจ้งไปยังนายจ้างของผู้ทำผิด ว่าพนักงานของพวกเขามี “พฤติกรรมไม่ดี”

 

#8
สุ่มตรวจเช็คโทรศัพท์มือถือ

 

 

นอกจากการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เจ้าหน้าที่ตำรวจและกองกำลังทหารในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ดินแดนของชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ ยังใช้วิธีโบราณอย่างการ ‘เข้าประชิดตัว’ เพื่อความปลอดภัยที่แน่นหนากว่าเดิม

จนท. จะสุ่มตรวจผู้สัญจรไปมาในบริเวณนั้น เพื่อตรวจเช็คทั้งโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป เพื่อค้นหาแอพพลิเคชันที่มีการสั่งห้ามใช้ และแม้กระทั่งข้อความซึ่งถือเป็นอันตรายต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน

วิธีการค้นหานี้ได้นำไปสู่การถูกกักตัวและจับกุมชาวอุยกูร์หลายต่อหลายคน

 

#9
จับตาพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย

 

 

เมื่อเดือน มี.ค. ไม่กี่ชั่วโมง หลังลูกชายของหญิงคนหนึ่งในหวูยี่ รีทวีตข้อความแอนตี้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ลงใน Weibo เธอก็ได้รับสายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าสิ่งที่ลูกชายของเธอโพสต์ลงไปนั้น ไม่เหมาะสม และขอให้มีการลบทิ้งโดยทันที

คำสั่งนี้เกิดขึ้น แม้ว่า ชอว์น ฉาง ลูกชายของเธอ จะพำนักและใช้อินเทอร์เน็ตจากแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ก็ตาม

ไม่แน่ชัดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีใดในการสืบค้นและเข้าถึงตัว จากนั้น ชอว์น ฉาง ระบุว่า “บัญชีโซเชียลมีเดียของผมดูเหมือนว่าจะถูกติดตามจากรัฐบาล พวกเขาคงอ่านทุกข้อความที่ผมโพสต์ บางทีผมคงจะอยู่ใน watch list ของพวกเขา”

 

#10
สร้างซอฟท์แวร์รวบรวมข้อมูลผู้คน

 

 

ทางการจีนสร้างซอฟท์แวร์บางตัวขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลผู้คน โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบ และหากพบว่าบุคคลนั้นเป็นอันตราย ก็จะขีดเส้นใต้ชื่อเอาไว้ในกลุ่ม ‘เฝ้าระวัง’

Human Rights Watch เผยว่า ซอฟท์แวร์ดังกล่าวมีการเก็บข้อมูลผ่านกล้อง CCTV, การตรวจเช็ค ID และกระทั่งแทรกแซงสัญญาณอินเทอร์เน็ตไวไฟ

ขณะที่หน่วยกำกับส่วนกลาง ‘Integrated Joint Operations Platform’ (IJOP) จะมีการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้คน และบ่งชี้ว่าคนๆ นั้นมีอันตรายต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือไม่ หากพบความเสี่ยงก็จะแจ้งเตือนต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นต่อไป

กิจกรรมนี้ช่วยให้เจ้าหน้าที่จีนสามารถควบคุมคนที่พวกเขาเห็นว่าเป็นผู้คัดค้านทางการเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จ

 

AHEAD TAKEAWAY

แนวคิดการใช้ ‘Social Credit System’ โดยทางการจีน ถูกเปิดเผยครั้งแรกตั้งแต่ปี 2014 โดยรัฐบาลให้เหตุผลว่าเพื่อสร้างบรรทัดฐานทางสังคมใหม่ให้กับชาวจีน และ “การรักษาความไว้เนื้อเชื่อใจ คือความรุ่งเรือง ส่วนการทำลายทิ้ง คือความน่าละอาย”

แม้โปรแกรมนี้ถูกวางไว้ว่าจะเริ่มต้นใช้งานเต็มรูปแบบในปี 2020 แต่เวลานี้ก็มีการออกมาตรการหลายสิ่งมาเพื่อตรวจเช็คและสลายพฤติกรรมบางอย่างแล้ว

ยังมีการรวบรวมข้อมูลไว้ว่าถ้าชาวจีนไม่พยายามรักษาคะแนน Social Credit ของตัวเองไว้ พวกเขาจะโดนลงโทษด้วยรูปแบบต่างๆ อาทิ
• ขี้นแบล็คลิสต์ หรือถูกตีตราเป็น ‘bad citizen’
• แบนการซื้อตั๋วเครื่องบินและรถไฟ
• แบนการเข้าเรียน (และส่งลูกเรียน) ในสถานศึกษาชั้นนำ
• ตัดช่องทางการได้งานกับบริษัทใหญ่
• แบนการเข้าพักโรงแรมหรู

ในทางตรงกันข้าม หากพฤติกรรมดี คะแนน Social Credit สูง (จัดเป็น ‘good citizen’) ก็จะมีรางวัลให้ด้วยเช่น ลดราคาค่าไฟฟ้า, ได้ดอกเบี้ยธนาคารสูงกว่า หรืองดเว้นค่าธรรมเนียมต่างๆ

ชัดเจนว่าการใช้ระบบตรวจจับใบหน้าหรือรวบรวมข้อมูลดิจิทัลสำหรับจีน มีการเปิดกว้างมากกว่าประเทศอื่นในโลก ซึ่งแน่นอนว่ามีบางส่วนที่มองว่านี่คือการรุกล้ำสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากจนเกินไป

แต่อย่าลืมว่าในโลกเสรี (หรือที่เราคิดว่าใช่) พฤติกรรมคล้ายๆกันแบบนี้ก็มีให้เห็น ทั้งจากภาครัฐ เช่น NSA ของสหรัฐอเมริกาที่ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เคยนำเรื่องออกมาแฉให้โลกรู้ และเอกชน อย่างบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ไม่ว่าจะ Facebook, Google ฯลฯ ต่างก็รู้และเข้าใจเรายิ่งกว่าที่เราเข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ

แต่ในคราวเดียวกัน ก็มีบางส่วนที่เห็นดีเห็นงามกับมาตรการเหล่านี้ เมื่อพวกเขา ‘รู้สึกปลอดภัย’ ภายใต้การสอดส่องดูแลของ ‘Big Brother’

กับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ต้องแลกไปด้วยความไม่เป็นส่วนตัว คุ้มกันหรือไม่

สังคมในอุดมคติของรัฐบาลจีน มีประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน

คุณคงต้องตัดสินด้วยตัวเอง

 

เรียบเรียงจาก
China is building a vast civilian surveillance network — here are 10 ways it could be feeding its creepy ‘social credit system’
China has started ranking citizens with a creepy ‘social credit’ system — here’s what you can do wrong, and the embarrassing, demeaning ways they can punish you

AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า

Subscribe to Our Newsletter

Loading
Total
117
Shares
Previous Article
Tesla, Apple, ผลประกอบการ, กำไร, ขาดทุน

เปิดงบไตรมาสแรก Tesla ยังร่วง, Apple กำไรพุ่งเตรียมจ่ายปันผล

Next Article
VC, Venture Capitalist, นักลงทุน, เซเลบ

นักลงทุนที่หล่อที่สุดในโลก

Related Posts