ในโลกของสตาร์ทอัพปัจจุบัน Patrick และ John Collison สองพี่น้องชาวไอร์แลนด์ แห่ง Stripe คือ “วัยรุ่นพันล้าน” ตัวจริงเสียงจริง
ด้วยวิธีคิดที่ก้าวไกลกว่าคนอายุไล่เลี่ยกัน (รวมถึงอายุมากกว่า) ด้วยคำตอบของปัญหาที่ครั้งหนึ่งทำให้การทำธุรกรรมออนไลน์เป็นเรื่องวุ่นวาย
ด้วยการใส่โค้ดเพียง 7 บรรทัดลงไปในเว็บไซต์
และมอบหมายหน้าที่อื่นให้พวกเขาจัดการแทน…
อีคอมเมิร์ซบูม
ในแต่ละวัน ชาวอเมริกันใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าทางออนไลน์ มากถึง 1,200 ล้านดอลลาร์
ตัวเลขดังกล่าว เป็นผลจากการประเมินอย่างคร่าวๆ ว่าเพิ่มสูงขึ้นเท่าตัวจากเมื่อห้าปีที่แล้ว
และจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวเช่นกันในอีกห้าปีข้างหน้า เมื่ออีคอมเมิร์ซเข้ามาแทนที่ค้าปลีกแบบดั้งเดิมอย่างเต็มตัว
เรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกต คือการเติบโตของอีคอมเมิร์ซนั้น รวดเร็วจนแซงหน้าโครงสร้างการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์แบบเดิมๆไปแล้ว
ที่ผ่านมา การจะตั้งร้านค้าออนไลน์ขึ้นมานั้น มีขั้นตอนมากมาย
ตั้งแต่ติดต่อธนาคาร ผู้ให้บริการชำระเงิน (Payment Processor เช่น PayPal, Click2Pay ฯลฯ) หรือผู้ให้บริการเกทเวย์
ซึ่งอาจกินเวลาหลายสัปดาห์ ต้องเตรียมเอกสารหลายฉบับ ติดต่อเจ้าหน้าที่คนแล้วคนเล่า และเสียเบี้ยบ้ายรายทางหลายรอบ กว่าจะได้ข้อสรุป
แม้แต่ซอฟต์แวร์ต่างๆที่ใช้กัน ก็แทบไม่มีการพัฒนาอะไรใหม่ๆเลยนับสิบปี
แม้แต่ฝ่ายที่ดูแลซอฟต์แวร์ หรือโค้ดต่างๆให้กับ ธนาคาร ผู้ให้บริการบัตรเครดิต หรือสถาบันการเงินต่างๆ
ก็มักเป็นไปในลักษณะของช่าง คือ “ซ่อมได้” แต่ “ไม่สร้างอะไรใหม่ๆขึ้น”
กระทั่งในปี 2010 Patrick และ John สองพี่น้อง Collison ที่คิดหาทางเพิ่ม GDP ให้กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ด้วย Stripe Inc.
พี่น้องอัจฉริยะ
Patrick และ John เกิดที่ Limerick ในไอร์แลนด์ ก่อนย้ายมาอาศัยที่หมู่บ้าน Dromineer ในตอนกลางของประเทศ ที่ซึ่ง Denis พ่อของทั้งคู่เปิดโรงแรมขนาด 24 ห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยว
Denis นั้นมีพื้นฐานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ส่วน Lily แม่ ก็จบปริญญาด้านจุลชีววิทยา และเป็นเจ้าของสถาบันสอนผู้ประกอบการ
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ทั้ง Patrick และ John ถึงคุ้นเคยกับวิถีชีวิตในแบบผู้ประกอบการตั้งแต่อายุยังน้อย
“สำหรับเรา การเป็นผู้ประกอบการเป็นเรื่องทั่วๆไปในชีวิต เพราะอะไรที่พ่อแม่ทำ มันจะดูธรรมดาสำหรับลูกๆเสมอ”
Patrick เรียนจบมัธยมตั้งแต่อายุ 16 พร้อมรางวัล นักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์แห่งปี จากผลงานเขียนโปรแกรมด้านภาษา และระบบ AI ก่อนเข้าศึกษาต่อที่ MIT ในปี 2006 โดยอาศัยคะแนนจากการสอบ SAT ที่ทำไว้ตั้งแต่อายุ 13
จากนั้น John ก็เดินทางตามไปสหรัฐ เพื่อเข้าเรียนที่ฮาวาร์ด ในอีกสองปีถัดมา
ทั้งคู่ใช้เวลาว่างไปกับการเขียนแอพพลิเคชั่น เพื่อขายใน App Store
และหนึ่งในแอพทำเงินที่ทั้งคู่เคยเขียนไว้ คือ Wikipedia เวอร์ชั่นออฟไลน์ ในราคา 8 ดอลลาร์
แต่ที่ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นมิลเลียนแนร์ตั้งแต่วัยรุ่น คือ Auctomatic Inc. ระบบจัดการประมูลใน Ebay ซึ่งทั้งคู่ขายไปในราคา 5 ล้านดอลลาร์ เมื่อปี 2008
การคลุกคลีกับ Ebay และเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซยุคบุกเบิกหลายแห่ง ทำให้ทั้งคู่มองเห็นปัญหาบางอย่าง
จนสุดท้าย ต่างก็ตัดสินใจดร็อปจากมหาวิทยาลัย ในปีถัดมา เพื่อหันมาขัดเกลาไอเดียที่คิดไว้
Stripe : จบใน 7 บรรทัด
ออฟฟิศแรกของ Stripe ตั้งอยู่ใน พาโล อัลโต เยื้องกับ PayPal Inc. และเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2011 โดยมี Patrick เป็น CEO และ John เป็นประธาน
ในช่วงสองปีแรก สองพี่น้องใช้เวลาไปกับการเทสต์ระบบให้บริการ และการสร้างคอนเนกชั่นกับธนาคาร ผู้ให้บริการบัตรเครดิต รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ
เพื่อปูทางให้ผู้ใช้บริการไม่ต้องมาปวดหัวซ้ำซ้อนกับเรื่องนี้
ในการใช้บริการของทั้งคู่ สิ่งที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของเว็บไซต์ต้องทำ จึงมีเพียงการใส่โค้ด 7 บรรทัดลงในเว็บไซต์ เพื่อให้ใช้บริการธุรกรรมการเงินได้ทันที
แลกกับการคิดค่าบริการ 2.9% ในแต่ละครั้ง
จากงานที่ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ ถูกย่อจนเหลือแค่การ cut and paste ง่ายๆ
ทำให้สตาร์ทอัพน้อยใหญ่ในซิลิคอน วัลลีย์ หันมาใช้บริการของพี่น้อง Collison ไม่ว่าจะเป็น Lyft, Facebook, DoorDash ฯลฯ ในฐานะเครื่องมือ ที่ช่วยให้สตาร์ทอัพทั้งหลายทำงานได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องย้อนกลับมาพะวงเรื่องธุรกรรมอีก
ปัจจุบัน Stripe ให้บริการกับธุรกิจต่างๆในสหรัฐ ไม่ต่ำกว่า 1 แสนราย
แม้จะไม่เคยเปิดเผยปริมาณหรือมูลค่าการทำธุรกรรมของบริษัท
แต่มีการประเมินโดยนักวิเคราะห์ว่า น่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบของบริษัท ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
ซึ่งเท่ากับว่าบริษัทมีรายรับต่อปี ราว 1,500 ล้านดอลลาร์ ทั้งที่อยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง และถูกยึดครองไว้โดยสถาบันการเงินมาตลอด
ในปี 2017 Stripe มีพนักงาน ราว 750 คน (หรือเพิ่มเกือบสิบเท่าจากเมื่อสามปีก่อน) และได้รับการประเมินว่ามีมูลค่าราว 9,200 ล้านดอลลาร์
แมัการให้บริการธุรกรรมออนไลน์จะมีการแข่งขันกันสูง
ทั้งในหมู่สตาร์ทอัพด้วยกันเอง ธนาคารใหญ่ หรือแม้แต่ยักษ์อย่าง Google และ Apple จนทำให้ส่วนต่างของผลกำไรมีไม่มากนัก
แต่ในความเห็นของ Brendan Miller นักวิเคราะห์ของ Forrester Research
ทั้งหมดก็ยังถือว่าล้าหลังพี่น้อง Collison อยู่มาก
และการที่ทั้งคู่สามารถดีลกับอีคอมเมิร์ซเบอร์หนึ่งของประเทศอย่าง Amazon ได้นั้น ก็น่าจะการันตีได้ว่า Stripe คือทางออกที่ใช่ของธุรกรรมการเงินในยุคถัดไปเช่นกัน
AHEAD TAKEAWAY
คนที่อยู่กับธุรกิจอีคอมเมิร์ซมาตั้งแต่ยุคอินเทอร์เน็ตเริ่มบูม น่าจะคุ้นเคยกับระบบ Payment Processor หรือผู้ให้บริการเกทเวย์ต่างๆกันดี ว่ายุ่งยากแค่ไหน กว่าจะสามารถจัดการระบบชำระเงินได้
ความนิยมของ Stripe จึงมาจากการอาสารับจัดการ “เรื่องหลังบ้าน” ให้ผู้ประกอบการทั้งหลายแทน
ปัจจุบัน เราจึงได้เห็นสตาร์ทอัพที่มีรูปแบบการดำเนินงานคล้ายๆกับ Stripe หลายแห่ง
อาทิ Braintree Payment Solutions บริษัทลูกของ PayPal
และ Adyen สตาร์ทอัพจากเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้รับความไวัวางใจจาก Netflix, Airbnb และ Uber รวมถึงการเข้ามาแทนระบบชำระเงินดั้งเดิมของ Ebay ที่ยึดครองโดย PayPal มานานอีกด้วย
ยังไม่นับธนาคาร ผู้ออกบัตรเครดิต และผู้ให้บริการ Payment Processor รุ่นก่อนที่พยายามปรับตัวเช่นกัน
ธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันสูงแบบนี้ ทำให้พี่น้อง Collison ยอมรับว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเวลาเหลือสำหรับ พักผ่อนและฉลองความสำเร็จ
“ทุกเช้า ผมยังเปิดเจออีเมลไม่ต่ำกว่า 20 ข้อความที่บอกว่าเรายังให้บริการได้ไม่ดี แทบไม่มีวันไหนที่เรารู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว”
การต้องเดินหน้าต่อแบบหยุดไม่ได้ ทำให้ Patrick ซึ่งมีงานอดิเรกคือการขี่จักรยาน นึกถึงวรรคทองจาก Greg LeMond อดีตแชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ที่ว่า “ไม่มีช่วงไหนที่ง่าย – คุณมีแต่ต้องเร่งตัวเองให้เร็วขึ้น” (It never gets easier – you just get faster.)
“เมื่อคุณซ้อมหนักขึ้น คุณจะฟิตขึ้น เร็วขึ้น ทำเวลาดีขึ้น แต่แผลที่คุณเจ็บจากตอนหัดขี่ครั้งแรก มันก็ยังเป็นแผลเดิมเมื่อคุณขี้นขี่ครั้งที่ 500 – ที่ต่างกัน คือคุณแค่ขี่ได้เร็วขึ้นเท่านั้น”
“มันก็เหมือนการทำสตาร์ทอัพ ปัญหามันแค่มาในรูปแบบที่ต่างออกไปเท่านั้น สิ่งที่เราทำ คือเร่งไปข้างหน้าด้วยสิ่งที่มีอยู่แล้ว และที่เราไม่เคยลืมคือทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก”
เรียบเรียงจาก
How Two Brothers Turned Seven Lines of Code Into a $9.2 Billion Startup
The 29-year-old CEO reveals what it’s really like running a $9.2 billion startup
