If I had asked people what they wanted, they would have said…FASTER HORSES.
“ถ้าถามคนว่าอยากได้อะไร พวกเขาคงตอบว่าอยากได้ม้าที่เร็วขึ้น…” คือวรรคทองที่ Henry Ford เคยพูดถึงอนาคตของการคมนาคม ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
กว่าหนึ่งร้อยปีผ่านไป หลัง Ford วางตลาด Model T รถรุ่นผลิตจำนวนมากเป็นครั้งแรก เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายใน อุตสาหกรรมรถยนต์
แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้คนส่วนใหญ่อาจไม่ต้องการรถยนต์ส่วนตัวอีกต่อไป และบทบาทของผู้ผลิตจะค่อยๆลดลงจากเดิม
นั่นคือสิ่งที่ Bob Lutz อดีตรองประธานของ General Motors ซึ่งอยู่ในวงการนี้มานานถึง 47 ปี ให้ทรรศนะไว้
“ผมคงไม่อยู่ถึงวันนั้น และมีโอกาสพูดประโยคที่ว่า ‘ผมบอกแล้ว’ หรอกนะ หรือต่อให้ผมอายุยืนถึงตอนนั้นจริงๆ (105 ปี) ผมก็คงแก่จนขับรถเองไม่ไหว และตอนนั้นรถยนต์ที่มนุษย์ขับก็คงถูกห้ามใช้งานไปแล้วด้วย”
และนี่คือสัญญาณเตือน 5 ข้อที่สนับสนุนคำเตือนของ Lutz ว่าวาระสุดท้ายของ อุตสาหกรรมรถยนต์ กำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว
#5
ROBOT TAXI ในโอลิมปิก 2020
รัฐบาลญี่ปุ่นโดยการนำของนาย Shinzo Abe นายกรัฐมนตรีวางแผนให้ โอลิมปิก 2020 เป็นจุดเริ่มต้นในการวางรากฐานสาธารณูปโภค เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย และการขาดแคลนปัญหาแรงงาน
รถยนต์ไร้คนขับ คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่ญี่ปุ่นจะนำมาใช้ โดยจะเริ่มทดสอบบนถนนภายในปีหน้า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับใช้งานจริงในปี 2020 และผลักดันไปสู่ระดับธุรกิจ ภายในปี 2022
#4
รถยนต์คุยกันผ่าน HERE
แม้จะเป็นคู่แข่งในทางธุรกิจ แต่ในยุคของการ collaboration สามค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ทั้ง BMW, Audi และ Mercedes-Benz มองการณ์ไกลไปกว่านั้น
ทั้งหมดลงขันเป็นเงินถึง 2,700 ล้านดอลลาร์ ซื้อระบบแผนที่ “HERE Maps” จาก Nokia (โดยมี Intel และ Bosch ร่วมถือหุ้นด้วย) เมื่อสามปีก่อน เพื่อนำมาพัฒนาต่อในโครงการรถยนต์ไร้คนขับ
เป้าหมายของ HERE ก็คือเซนเซอร์ที่ติดตั้งในรถแต่ละคัน จะสื่อสารกันได้ และแชร์ข้อมูลจราจรแก่กันละกัน เพื่อให้รถคันอื่นๆรู้สถานการณ์บนท้องถนนล่วงหน้า
#3
ชิปเซ็ตสำหรับรถไร้คนขับ 8 ล้านชุดจาก Mobileye
เดือนมีนาคมปีที่แล้ว Intel ผู้ผลิตชิปเซตชั้นนำของโลก ทุ่มเงินมหาศาลถึง 15,300 ล้านดอลลาร์ เทกโอเวอร์กิจการของ Mobileye นับเป็นสถิติใหม่ชองการซื้อขายกิจการบริษัทเทคโนโลยีในอิสราเอล
แม้หลายคนจะตั้งข้อสงสัยว่า Intel เดิมพันสูงเกินไปหรือไม่
แต่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก็มีรายงานว่า Mobileye บรรลุข้อตกลงกับผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปสำหรับส่งมอบชิปเซตรถไร้คนขับ ทั้งระดับ 4 และระดับ 3 จำนวน 8 ล้านคัน โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นไป
#2
เมื่อ ride-hailing ไร้คนขับ
ครั้งหนึ่ง Travis Kalanick ผู้ก่อตั้ง Uber เคยกล่าวไว้ว่าพฤติกรรมของคนรุ่นถัดๆไป จะลดความต้องการครอบครองรถยนต์ของตัวเองลง และธุรกิจของสตาร์ทอัพดังจากซาน ฟรานซิสโก ก็จะเข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้
แม้วันนี้ Kalanick จะไม่มีบทบาทในบริษัทแล้ว แต่ Uber รวมถึงผู้ให้บริการ ride-hailing รายอื่นๆ อาทิ Didi Chuxing, Lyft หรือ Grab ต่างก็เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับกันอย่างเต็มที่
และ Lutz ก็เชื่อว่าเมื่อวันนั้นมาถึง ผู้คนจะไม่ได้จดจำรถยนต์จากแบรนด์เดิมๆ อย่าง GM, Ford ฯลฯ อีกต่อไป แต่จะจำว่ารถคันนั้นเป็นของ Lyft หรือผู้ให้บริการรายอื่นๆแทน
#1
Tesla และ Waymo
That issue is better in latest Autopilot software rolling out now & fully fixed in August update as part of our long-awaited Tesla Version 9. To date, Autopilot resources have rightly focused entirely on safety. With V9, we will begin to enable full self-driving features.
— Elon Musk (@elonmusk) June 10, 2018
แม้ Lutz จะเป็นผู้ทำนายไว้เมื่อเดือนมีนาคมว่า Tesla จะประสบภาวะล้มละลายภายใน 6 เดือนก็ตาม
แต่ ณ ปัจจุบัน ผู้ผลิต EV ระดับไฮเอนด์ คือหนึ่งในสองบริษัทที่มีเทคโนโลยีรถไร้คนขับที่ดีที่สุด ร่วมกับ Waymo บริษัทลูกของ Alphabet
อันเป็นผลจากคลังข้อมูลมหาศาลที่ได้จากการทดสอบตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Musk ก็เพิ่งทวีตว่าเวอร์ชั่น 9 ของ Autopilot ระบบควบคุมรถยนต์ด้วยตัวเองของ Tesla จะควบคุมการทำงานผสมผสานกัน ระหว่าง กล้องติดรถ เรดาร์ และเซนเซอร์อัลตราโซนิคในตัวรถ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยจะเป็นจากเดิมที่เป็น “กึ่งอัตโนมัติ” (semi autonomous) มาตลอด
ขณะที่ Waymo ก็เพิ่งทดสอบการวิ่งครบ 7 ล้านไมล์ไปเมื่อเร็วๆนี้ และมีกำหนดที่จะผลักดันให้เกิดบริการแท็กซี่ไร้คนขับให้ได้ภายในปี 2018 นี้ด้วย
นั่นหมายถึงคำทำนายของ Lutz นั้น เริ่มนับถอยหลังสู่ความจริงแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
AHEAD FACTS
- Elon Musk ระบุว่าอุบัติเหตุที่เกิดกับ Tesla Model S ระหว่างการใช้ระบบ Autopilot จนทำให้มีผู้เสียชีวิต เมื่อไม่นานมานี้ เป็นเหตุร้ายแรงครั้งแรกจากระยะทางวิ่งด้วยระบบนี้ 130 ล้านไมล์ ขณะที่ค่าเฉลี่ยอุบัติเหตุร้ายแรงจากฝีมือมนุษย์ในสหรัฐ อยู่ที่ 94 ล้านไมล์
- Waymo บริษัทลูกของ Alphabet เป็นผู้พัฒนา ‘รถยนต์ไร้คนขับคันแรกของโลกที่สามารถวิ่งบนท้องถนนได้’ โดยผู้ได้รับเกียรติให้ทำการทดสอบที่เมืองออสติน ในรัฐเท็กซัส คือ Steve Mahan อดีต CEO ของศูนย์ผู้พิการทางสายตาใน ซานตา คลารา
- LIDAR (ไลดาร์) คือเทคโนโลยีการสำรวจภูมิประเทศ ที่ทำงานในแบบเดียวกับ เรดาร์ (Radar) ทำหน้าที่เป็น “ตา” ของรถไร้คนขับ โดยวัดระยะด้วยการคำนวณจากเวลาในการเดินทางของเลเซอร์ ที่ยิงจากเซนเซอร์ไปยังวัตถุเป้าหมายและกลับมา เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลเป็นโครงสร้างภูมิประเทศ และบ่งบอกว่าเป็นต้นไม้ ตึกรามบ้านช่อง ฯลฯ ในลักษณะ 3 มิติ และเป็นเทคโนโลยีที่ Waymo และบริษัทส่วนใหญ่เลือกใช้
- แต่ Tesla ไม่ได้ใช้ระบบ LIDAR ในการควบคุมรถไร้คนขับ แต่ใช้ซอฟต์แวร์ในการควบคุมการทำงานของกล้องติดรถ 8 ตัว เรดาร์ และระบบเซนเซอร์อัลตราโซนิค 12 ตัวแทน
- Intel ประเมินว่ามูลค่าการตลาดของรถไร้คนขับจะเพิ่มจาก 8 แสนล้านดอลลาร์ (26.3 ล้านล้านบาท) ในปี 2035 (หรือ 17 ปีนับจากนี้) เป็น 7 ล้านล้านดอลลาร์ (230 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2050
เรียบเรียงจาก
Intel predicts a $7 trillion self-driving future
HOW TESLA AND WAYMO ARE TACKLING A MAJOR PROBLEM FOR SELF-DRIVING CARS: DATA
Intel buys Mobileye in $15.3B deal, moves its automotive unit to Israel
Exclusive: Intel’s Mobileye gets self-driving tech deal for 8 million cars
Japan looks to launch driverless car system in Tokyo by 2020
Bosch joins Intel, BMW, Audi, and Mercedes, buys stake in mapping company Here