Starbucks บรรลุข้อตกลงร่วมกับ Alibaba ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซจากจีน เพื่อเพิ่มศักยภาพดีลิเวอรี่ รวมถึงแผนปิดสาขาใหม่เพิ่มอีกกว่า 2,000 แห่ง
Kevin Johnson CEO ของเชนร้านกาแฟชั้นนำของสหรัฐ กล่าวถึงข้อตกลงในครั้งนี้ว่า จะช่วยยกระดับบริการของบริษัทให้มีความพร้อมมากขึ้น โดยที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สาขาด้วยตัวเอง แต่สามารถสั่งเครื่องดื่มผ่านร้านค้าเสมือน โดยแพลตฟอร์มดีลิเวอรี่ Ele.me และเชนซูเปอร์มาร์เก็ต Hema ในเครือ Alibaba จะทำหน้าที่จัดส่งให้ถึงมือ
“เรามีแผนเพิ่มร้านค้าเสมือน (virtual store) ของเราเข้าไปในทุกๆองค์ประกอบของ Alibaba เพื่อให้ลูกค้าที่กำลังเปิดแอพ Alipay, Taobao, Tmall หรือ Hema อยู่ สามารถสั่งเครื่องดื่มได้แบบเดียวกับตอนเปิดแอพของเรา เท่ากับว่าจะเป็นการเปิดประตูให้คนกว่า 500 ล้านที่ใช้แอพเหล่านั้น เข้าถึงเราได้ทันที”
ภายใต้ความร่วมมือนี้ Ele.me แพลตฟอร์มบริการส่งอาหารที่ Alibaba เพิ่งเทกโอเวอร์ในปีนี้ จะเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยทั้งสองฝ่ายจะเปิดสาขาใหม่อีก 150 แห่งในเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ก่อนขยายเป็น 2,000 สาขาใน 30 เมืองทั่วประเทศ ก่อนสิ้นปีนี้
สำหรับการจับมือกับ Hema นั้น จะเป็นการเปิด “Starbucks Delivery Kitchen” ซึ่งจะทำหน้าที่รับออร์เดอร์และส่งเครื่องดื่มให้ลูกค้าในบริเวณใกล้เคียง
AHEAD TAKEAWAY
จีน ซึ่งมีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคนนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ ที่ Starbucks ต้องใช้เวลาและความอดทนพอสมควร กว่าจะเจาะตลาด และปรับพฤติกรรมผู้บริโภคให้เป็นไปตามต้องการได้ โดยเฉพาะความเข้าใจของลูกค้าที่มีต่อกาแฟ แตกต่างจากซีกโลกตะวันตก
แต่หลังจากทำสำเร็จ การเติบโตของการบริโภคกาแฟในจีนเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก
รายงานจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐ และองค์การกาแฟระหว่างประเทศ พบว่าปริมาณการบริโภคกาแฟในจีนนั้นมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นถึงเกือบสามเท่าในรอบสี่ปีหลังสุด สอดคล้องกับการขยายสาขาของบริษัทที่มีค่าเฉลี่ยการเปิดสาขาใหม่ ‘ทุกวัน’ นับจากปี 2016 เป็นต้นมา หนึ่งในนั้นคือสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่เซี่ยงไฮ้
จนคาดว่าเมื่อถึงปี 2021 จะมีสาขาอย่างน้อย 5 พันแห่ง และ Howard Schultz อดีต CEO ของบริษัท ประเมินว่ามีโอกาสที่จีน จะแซงหน้าสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันมีสาขาราว 11,000 แห่ง ไปเป็นชาติที่มีสาขามากสุดในโลกได้
อย่างไรก็ดี ในไตรมาสที่ผ่านมา แม้จะมีรายรับเพิ่มขึ้น 17% แต่ยอดขายต่อสาขา (ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของธุรกิจค้าปลีก) ในจีนกลับตกลงไปราว 2%
Johnson กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่ามีผลกับบริษัทเพียงเล็กน้อย และเชื่อว่าดีลดังกล่าวจะเป็นการเร่งให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตได้อีกในประเทศที่มีศักยภาพอย่างจีน
และการจับมือกับ Alibaba ที่ปัจจุบันเป็นมากกว่าแค่เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เพราะมีความพร้อมในด้านเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงฐานผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล น่าจะถือเป็นการเปิดโอกาสทางการตลาดครั้งใหญ่ สำหรับเชนร้านกาแฟอันดับหนึ่งของโลกอย่างแน่นอน
สำหรับเพื่อนๆที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรม และธุรกิจ และต้องการพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่ข้างหน้าเสมอ สามารถกด like เพจ AHEAD.ASIA เพื่อติดตามเรื่องราวที่มีประโยชน์ และข่าวสารกิจกรรมที่น่าสนใจได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน