Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ คาด Apple มีแผนส่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของตัวเองในโครงการ ‘Project Titan’ สู่ตลาดภายในช่วง 5-7 ปีข้างหน้า หรือเร็วสุดภายในปี 2023 และอาจเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยมูลค่าบริษัทพุ่งไปแตะหลัก 2,000,000 ล้านดอลลาร์ อีกด้วย
Kuo ที่ติดตามข้อมูลของ Apple อย่างลงลึกมานานหลายปี เผยว่าภายหลังสร้างมูลค่าตลาด ทะลุ 1,000,000 ล้านดอลลาร์ ได้สำเร็จเมื่อต้นเดือน บริษัท น่าจะมีแผนมุ่งสู่การเป็นบริษัท 2,000,000 ล้านดอลลาร์ในอนาคต ด้วยองค์ประกอบต่างๆใน ecosystem ของตน ทั้งเรื่องงานบริการ, ผลิตภัณฑ์สินค้า, เทคโนโลยีโลกเสมือน AR และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Apple Car
สัปดาห์ที่แล้ว Apple เพิ่งดึง Doug Field อดีตผู้บริหารของบริษัท กลับจาก Tesla มาช่วยงาน ทำให้สื่อคาดหมายว่า Project Titan จะถูกเดินเครื่องเต็มกำลัง ซึ่งนักวิเคราะห์ชาวไต้หวัน เชื่อว่ารถยนต์รุ่นแรกของบริษัทจะสามารถใช้งานจริงได้ ภายในปี 2023-2025
Kuo คาดว่าบริษัทจะใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ในอนาคต และนำเทคโนโลยีที่จำเป็นมาใช้เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว ซึ่งทำให้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหมือนกับการใช้โทรศัพท์มือถือ เมื่อครั้งที่ iPhone ก้าวเข้ามา
“ข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีระดับสูง (เช่น AR) จะกำหนดทิศทางการใช้รถยนต์แบบใหม่ และแยกแยะความแตกต่างระหว่าง Apple Car กับแบรนด์อื่นๆ”
“บริการในส่วนนี้จะเติบโตอย่างมากโดยการเข้าสู่ตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ผ่านทาง Apple Car พวกเขาสามารถทำการควบรวมฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และบริการต่างๆ เข้าด้วยกันได้ดีกว่าคู่แข่งในปัจจุบันในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเป็นไปได้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ก็เช่นกัน” Kuo กล่าว
ทั้งนี้ Project Titan ถูกกล่าวถึงเมื่อปี 2014 โดยมีรายงานว่าพวกเขากำลังซุ่มวางแผนที่จะสร้างรถยนต์ที่ถูกออกแบบโดยบริษัทมาตั้งแต่ต้น และยังมีข่าวลือตามมาว่าได้เริ่มการเจรจาเบื้องต้นเพื่อสร้างโรงงานผลิตรถในสหรัฐฯ รวมถึงพยายามขอความร่วมมือด้านการผลิตกับค่ายผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่เช่น BMW, Mercedes-Benz, Nissan, McLaren, Magna Steyr และ BYD Auto ของจีน แต่ยังมีปัญหาในหลายขั้นตอนจนทำให้โครงการล่าช้า
จนกระทั่งในปีนี้ โครงการได้ถูกผลักดันอย่างจริงจังอีกครั้งภายใต้การนำของ Bob Mansfield ที่มีการดึงตัว Jaime Waydo วิศวกรอาวุโสด้านรถยนต์ไร้คนขับจาก Waymo และ Doug Field ผู้บริหารของ Tesla เข้ามาเสริมกำลัง ทำให้มีการคาดหมายว่ารถยนต์รุ่นแรกของพวกเขาจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
นอกจากนั้น Kuo เชื่อว่าบริษัทจะเปิดตัวแว่นตา AR Glasses ขึ้นในปี 2020 หลังจากลงทุนลงแรงพัฒนา UI ต่างๆ (เช่นเมาส์ของ Mac, ปุ่มกดของ iPod และ iPhone แบบมัลติทัช) มาได้พักใหญ่ “เราคาดว่าพวกเขาจะกำหนด UI ใหม่ของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่โดยนำเสนอประสบการณ์ AR ที่สร้างขึ้นโดยแว่นตา AR ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเปิดตัวในปี 2020”
AHEAD TAKEAWAY
แม้จะเริ่มต้นช้า แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ก็บ่งชี้ว่า Apple จะเข้าสู่การสร้างรถยนต์ภายใต้แบรนด์ตัวเองค่อนข้างแน่
มีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จะเติบโตถึงเกินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 นั่นคือการกลายเป็นอนาคตใหม่ของการใช้รถยนต์ใช้ถนนในสังคมโลก
ถัดจากการสร้างอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และให้บริการเทคโนโลยีต่างๆ แล้ว การเข้าแย่งส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากับผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็น่าจะเป็นทิศทางการเติบโตที่ดีเพื่อนำพาบริษัทไปสู่การมีมูลค่าตลาด 2 ล้านล้านดอลลาร์
ส่วน Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ชาวไต้หวัน ก็มีสถิติดีเยี่ยม ในการประเมินแนวโน้มความน่าจะเป็นของแบรนด์ใหญ่แบรนด์นี้
มีการเก็บสถิติในระหว่างปี 2011-2015 ว่าสิ่งที่ Kuo คาดการณ์ทั้งหมด 29 ครั้ง ถูกต้องมากถึง 27 หน หรือก็คือแทบไม่ผิดเลยนั่นเอง
ตัวอย่างคำทำนายที่เข้าเป้าตรงเผงของ Kuo มีอย่างเช่น บริษัทจะเปิดตัว iPhone 4 สีขาว ในเดือน เม.ย. 2011, จะยกเลิกการพัฒนา MacBook Pro 17 นิ้ว ในปี 2012, เปิดตัว iPad mini ปลายปี 2012, เปิดตัว iPhone 5s ที่ประกอบด้วยฟีเจอร์ต่างๆ มากมายในปี 2013, เปิดตัว MacBook Air รีดีไซน์ 12 นิ้ว ในปี 2014
ส่วนที่ผิดไปมีเพียงการคาดการณ์ว่า ปุ่มโฮมของ iPhone 5s จะเป็นแบบนูน และมีรุ่น 128GB ในปี 2013 กับ Apple TV จะเปิดตัวพร้อมเทคโนโลยี Motion-Tracking ในปี 2014 เท่านั้น
การที่ Kuo ระบุล่าสุดว่า Apple Car จะมาแน่ภายใน 5-7 ปีข้างหน้า พร้อมกับทิศทางการขยับตัวหลายๆ จุดของบริษัท จึงเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือไม่น้อยว่าจะเกิดขึ้นจริงตามคำทำนาย และนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Apple และอุตสาหกรรมรถยนต์
เรียบเรียงจาก
Kuo: ‘Apple Car’ likely to launch in 2023 to 2025, fuel $2 trillion company valuation
Meet Ming-Chi Kuo, the best Apple analyst on the planet
สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรมและธุรกิจ และต้องการพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่ข้างหน้าเสมอ สามารถกด like เพจ AHEAD ASIA เพื่อติดตามเรื่องราวที่มีประโยชน์ และข่าวสารกิจกรรมที่น่าสนใจได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน