พลังงานสะอาด (Renewable Energy) ที่หลายประเทศกำลังผลักดันให้เป็นทางเลือกใหม่ แทนการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม จากถ่านหิน และน้ำมัน (Fossil Fuels) ดูใกล้ความเป็นจริงขึ้นทุกขณะ
ล่าสุด “องค์กรพลังงานสะอาดสากล” The International Renewable Energy Agency (IRENA) แสดงความมั่นใจในรายงานฉบับใหม่ล่าสุดของพวกเขาว่า ภายในปี 2020 พลังงานสะอาด ประเภทต่างๆ อาจมีต้นทุนราคาที่แข่งขันได้ หรือถูกกว่า พลังงานจากน้ำมันหรือถ่านหิน
โดยในปัจจุบัน พลังงานสะอาด ที่มีต้นทุนราคาถูกสุดคือไฟฟ้าจากพลังงานน้ำที่ราคาประมาณ 1.64 บาทต่อยูนิต (kW-hr) ส่วนพลังงานจากลมที่ผลิตบนฝั่งอยู่ที่ 1.97 บาทต่อยูนิต (kW-hr) ซึ่งถูกกว่าพลังงานจากลมที่ผลิตได้จากนอกชายฝั่ง
ส่วนพลังงานแสงอาทิตย์แม้จะยังแพงกว่าที่ 3.28 บาท ต่อยูนิต (kW-hr) แต่ก็ยังถือว่าลดลงมาจากเมื่อปี 2010 ถึง 73 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งต้นทุนราคาของพลังงานสะอาดประเภทอื่นๆก็มีแนวโน้มลดลงเช่นเดียวกัน เช่น พลังงานจากลมที่ผลิตบนฝั่งลดลง 23 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาดังเกล่า โดยในปัจจุบันนั้น ต้นทุนราคาของพลังงานจากถ่านหินอยู่ระหว่าง 1.64 – 5.57 บาทต่อยูนิต (kW-hr)
ผู้เชี่ยวชาญใน “องค์กรพลังงานสะอาดสากล” (IRENA) ให้ความเห็นว่า 3 สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ต้นทุนราคาของพลังงานสะอาดลดลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่
- ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี
- ตลาดพลังงานที่มีการแข่งขันมากขึ้น
- ผู้ผลิตพลังงานสะอาดเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น
AHEAD TAKEAWAY
กองบรรณาธิการของ AHEAD.ASIA มองว่า แม้ต้นทุนราคาของพลังงานสะอาดจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ความท้าทายของการนำพลังงานสะอาดมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเก็บพลังงาน (Energy Storage) การจำหน่ายพลังงาน (Energy Distribution) และเพียงพอกับความต้องการ ยังเป็นอีกเรื่องที่ต้องเดินหน้ากันต่อไป
เพราะแม้ต้นทุนราคา พลังงานสะอาด จะลดลง และมีการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อเทียบกับรายงานด้านพลังงานอื่นๆ จะพบว่ายังไม่น่าจะเพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
ดั่งที่รายงานจำปีของ BP ระบุว่าในปี 2017 มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น 35% และ พลังงานลมเพิ่มขึ้น 17% จากปี 2016
แต่การใช้พลังงานจากน้ำมันและถ่านหินกลับไม่เคยลดลงเลย แถมยังคงต้องเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องมา 8 ปีติดแล้ว ถึงขนาดที่ในปี 2017 ทำสถิติ การผลิตสูงสุดเป็นประวัติศาสต์ที่ 92.6 ล้านบาเรลต่อวัน
รายงานฉบับเดียวกันยังแจกแจงว่า ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดสามอันดับแรกของโลกได้แก่ สหรัฐอเมริกา ซาอุดิอาระเบีย และ รัสเซีย
ส่วนประเทศที่ใช้พลังงานมากที่สุดได้แค่ สหรัฐอเมริกา และ จีน ตามลำดับ
AHEAD.ASIA วิเคราะห์ว่าสาเหตุที่ความต้องการพลังงานยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้นมาจากหลายปัจจัย เช่น จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น สิ่งของต่างๆที่ต้องการพลังงานมากขึ้น เช่น ชิพคอมพิวเตอร์ การ์ดจอ ที่ต้องการความสามารถในการประมวลผลมากขึ้น หุ่นยนต์ที่เริ่มมาทำงานแทนคนมาก หรือ อุปกรณ์ IoT ต่างๆเช่น สายรัดข้อมือ ก็เป็นสิ่งใหม่ๆที่ต้องการพลังงานเช่นกัน
ทำให้พอเห็นภาพว่ายุค 4.0 ที่หลายอย่างหันมาพึ่งพาพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม อุตสาหกรรมด้านพลังงานจึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และความสามารถในวางแผนพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนกฎเกณฑ์ในการผลิตและซื้อขายพลังงานที่มีประสิทธิภาพนั้น จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวไปข้างหน้า
เพิ่มเติมเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ พลังงานสะอาด (Renewable Energy)
เมื่อ Tesla เตรียมอำลา NASDAQ : ปลายทางที่ตะวันออกกลาง?
สรณัญช์ ชูฉัตร: เปลี่ยนโลกด้วยพลังงานสะอาด
Richard Branson หนุนพลังงานสะอาดจากกากกาแฟ
รถไร้คนขับ โดรน และพลังงานสะอาด: เมื่อดูไบมุ่งหน้าสู่สมาร์ทซิตี้
เรียบเรียงจาก
Renewable Energy Will Be Consistently Cheaper Than Fossil Fuels By 2020, Report Claims / Forbes
In 2 years, renewables will be cheaper than fossil fuels / WEF
Global Energy Consumption Soars To New Heights
AHEAD.ASIA คือสำนักข่าวเจาะลึกด้านนวัตกรรม และธุรกิจ
อย่าลืมกดติดตามเพจและคอมมูนิตี้ของเรา สำหรับเรื่องล้ำๆ และข่าวสารกิจกรรมต่างๆ
เพื่อเราจะได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน