Netflix

สมาชิก Netflix เพิ่มเป็นสถิติ 7 ล้านคนในหนึ่งไตรมาส เผยกินยอดแบนด์วิธอินเตอร์เน็ตทั้งโลก 15%

Netflix สร้างสถิติใหม่ ด้วยจำนวนยอดผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นถึง 7,000,000 คน ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี ถือเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้นักลงทุนที่มีความกังวลว่าบริษัทจะประสบกับภาวะชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่รายงาน Global Internet Phenomena Report เสริมว่าบริการวิดีโอสตรีมมิ่งรายนี้ กินปริมาณแบนด์วิธผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกมากถึง 15%

ราคาหุ้นของบริษัทเคยตกลงไปถึง 14% ในไตรมาสที่สอง เนื่องจากพลาดเป้าการเติบโตของผู้ใช้บริการ จนมีการคาดหมายว่าธุรกิจนี้อาจเริ่มอิ่มตัวแล้ว แต่ในการประกาศผลประกอบการล่าสุดของบริษัท พบว่ายอดสมาชิก (subscribers) ในไตรมาสล่าสุด กลับเพิ่มสูงขึ้นกว่าการประเมินนับล้านคน ส่งผลให้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 137 ล้านรายทั่วโลก

ขณะเดียวกัน มูลค่าหุ้นของบริษัทวานนี้เพิ่มขึ้น 14% เป็นหน่วยละ 394.25 ดอลลาร์ (ราว 13,000 บาท) หลังเปิดตลาด ส่งผลให้นับแต่เข้าปี 2018 เป็นต้นมา มูลค่าหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นจากเดิมแล้วถึง 78 เปอร์เซ็นต์ พร้อมดึงราคาหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นๆ เช่น Alphabet, Facebook และ Amazon ขยับขึ้นไปด้วยราว 1%

Jim Nail นักวิเคราะห์จาก Forrester Research กล่าวว่า “คำถามในช่วงท้ายไตรมาส 2 คือเรื่องที่ว่ายอดสมาชิกซึ่งไม่เป็นไปตามคาด เป็นแค่ความผิดปกติหรือเป็นสัญญาณของการชะลอตัวในระยะยาว คำตอบคือเป็นเพียงความผิดปกติ ที่อาจเป็นผลมาจากปริมาณเนื้อหาใหม่ๆ ที่ค่อนข้างต่ำ”

Netflix ลงทุนเรื่องคอนเทนท์บันเทิงภายในปีนี้มากกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 264,000 ล้านบาท) เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ทั่วโลก ในไตรมาสล่าสุดได้เปิดตัวรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ที่โดดเด่นที่สุดในปัจจุบัน อาทิซีซั่นใหม่ของซีรี่ส์ “Orange is the New Black” และ “BoJack Horseman”

การลงทุนดังกล่าวส่งผลให้บริษัททำได้เกินการคาดการณ์ทั้งในตลาดสหรัฐอเมริกาและตลาดต่างประเทศ สร้างสมาชิกใหม่ในสหรัฐฯ ได้ 1.1 ล้านราย และสมาชิกทั่วโลก 5.9 ล้านราย ขณะที่นักวิเคราะห์ของ Wall Street คาดการณ์ไว้ที่ 5.2 ล้านคนเท่านั้น

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น มีการชี้แจงว่าบริษัท “มีการเติบโตที่แข็งแกร่งทั่วทุกตลาดของเรา รวมถึงในทวีปเอเชีย เราต้องการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนว่าเรามีความมั่นใจในด้านเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน เช่นเดียวกับการลงทุนเงินสดของเราในอดีต”

ด้าน Greg Peters ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ เสริมว่าบริษัทสามารถทำได้ดีในการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่นในประเทศอินเดีย “เรารู้สึกเหมือนว่าเรามีทางวิ่งที่ยาวไกลรออยู่ข้างหน้า ที่อินเดีย”

สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เป็นที่คาดว่าพวกเขาจะเพิ่มฐานลูกค้าได้อีก 1.8 ล้านรายในสหรัฐฯ และอีก 7.6 ล้านรายในตลาดต่างประเทศ ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะทำให้ยอดสมาชิกทั่วโลกเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 146.4 ล้านคนด้วยกัน

 

AHEAD TAKEAWAY

แม้จะต้องต่อกรกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Amazon และเตรียมที่จะโดนแย่งส่วนแบ่งตลาดไปอีกจากบริการสตรีมมิ่งของ Walt Disney Co และ AT&T Inc ในปีหน้า แต่ก็ต้องถือว่า Netflix มีก้าวเดินที่มั่นคงกว่าใคร จนจัดเป็นบริการวิดีโอสตรีมมิ่งออนไลน์เบอร์ 1 ของโลก ณ ตอนนี้

ในไตรมาสล่าสุด บริษัทมีการเพิ่มเวลาฉายคอนเทนท์ดั้งเดิม (original programming) ในสหรัฐฯ ขึ้นเป็น 676 ชั่วโมง นับเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 135% จากปีที่แล้ว ซึ่งจุดนี้มีส่วนช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ได้มาก

รายได้สุทธิในไตรมาสที่ 3 ของพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็น 403 ล้านดอลลาร์ (ราว 13,300 ล้านบาท) หรือ 89 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เหนือกว่าการคาดการณ์เช่นกัน จากที่มีการวิเคราะห์ว่าระดับการเพิ่มขึ้นจะอยู่ที่ 68 เซนต์ หลังจากช่วงเดียวกันนี้ของปีที่แล้ว รายได้สุทธิอยู่ที่เพียง 129.6 ล้านดอลลาร์ (ราว 4,277 ล้านบาท) หรือ 29 เซนต์ต่อหุ้น

ยังมีการเปิดเผยรายงาน Global Internet Phenomena Report จาก Sandvine ว่าเวลานี้ เพียง Netflix เจ้าเดียว ก็กินปริมาณแบนด์วิธผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกไปถึง 15% ซึ่งมากที่สุดในบรรดาบริการออนไลน์เจ้าใดเจ้าหนึ่ง

รายงานระบุว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก รับชมคอนเทนท์ที่เป็นวิดีโออยู่ถึง 58% และในจำนวนนั้น 15% เป็นสตรีมมิ่งอย่าง Netflix

สำหรับช่วงเวลาพีคไทม์ของแต่ละวันในสหรัฐฯ ก็มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตถึง 40% ที่รับชมรายการต่างๆ จากบริษัทของ Reed Hastings

จากการคาดหมายในไตรมาสปัจจุบัน พวกเขาจะเพิ่มฐานลูกค้าได้อีก 9.4 ล้านรายทั่วโลก สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า นับวัน Netflix ยิ่งแข็งแกร่ง และบริการสตรีมมิ่งออนไลน์ นับวันก็จะยิ่งเติบโตมากขึ้นในโลกออนไลน์

 

เรียบเรียงจาก
Netflix record subscriber growth dispels Wall Street worries
Netflix consumes 15 percent of the world’s internet traffic, report says

แม้จะเป็นเจ้าตลาดเบอร์หนึ่งของวิดีโอสตรีมมิ่งในเวลานี้ แต่ในอนาคต พวกเขาจะต้องเจอกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Disney ที่มีคลังแสงในมือมากมาย หนึ่งในนั้น ก็คือค่ายขวัญใจมหาชนอย่าง Marvel Studios นั่นเอง

AHEAD.ASIA คือสำนักข่าวเจาะลึกด้านนวัตกรรม และธุรกิจ
อย่าลืมกดติดตามเพจและคอมมูนิตี้ของเรา สำหรับเรื่องล้ำๆ และข่าวสารกิจกรรมต่างๆ
เพื่อเราจะได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน

Subscribe to Our Newsletter

Loading
Total
0
Shares
Previous Article

ประวัติ Onitsuka Tiger ไม่ใช่ "เสื้อ" แต่เป็น "ปลาหมึก"

Next Article
Paul Allen

5 ข้อคิดจาก Paul Allen ตำนานแห่ง Microsoft ผู้ล่วงลับ

Related Posts