รัฐบาลจีน เตรียมนำเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า และระบบสแกนลายนิ้วมือมาใช้งาน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานของด่านตรวจคนเข้าเมือง บริเวณจุดเชื่อมต่อของ สะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า สะพานข้ามทะเลที่มีความยาวมากที่สุดในโลก ซึ่งเพิ่งเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้
สะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก ความยาวถึง 55 กิโลเมตร ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ไปยังเขตบริหารพิเศษมาเก๊า และเมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้งของจีน โดยที่สะพานขนาด 6 เลนแห่งนี้ใช้งบก่อสร้างสูงถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 660,000 ล้านบาท) และใช้เวลาก่อสร้างนานร่วม 10 ปีเต็ม เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ในวันนี้ (24 ต.ค.) หลังได้รับเกียรติจาก ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นประธานในพิธี
ความโดดเด่นของสะพานดังกล่าว คือจะช่วยร่นระยะเวลาในการเดินทางจากเกาะฮ่องกงถึงเมืองจูไห่ เหลือเพียง 30 นาทีเท่านั้น เมื่อเทียบกับการเดินทางด้วยเรือแบบเดิม ซึ่งใช้เวลาถึง 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ล่าสุดมีการเปิดเผยจาก อินเทลลิฟิวชัน บริษัทปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ในเซินเจิ้น ผู้ควบคุมดูแลเทคโนโลยีสำหรับสะพานแห่งนี้ ว่าเร็วๆ นี้จะมีการติดตั้งกล้องความละเอียดสูง, เครื่องสแกนนิ้ว ไปจนถึงเครื่องสแกนอุณหภูมิ ลงในด่านตรวจคนเข้าเมืองของจูไห่
ผู้ขับขี่จากฮ่องกงจะสามารถผ่านด่านได้อย่างสะดวก ด้วยการสแกนลายนิ้วมือ, ผ่านกล้องตรวจจับใบหน้า และกล้องตรวจจับทะเบียนรถ หากทั้งหมดตรงกับข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าในฐานข้อมูลการเข้าเมือง โดยไม่จำเป็นต้องแสดงบัตรประชาชน
หวัง จุน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ อินเทลลิฟิวชัน เผยว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะถูกนำมาใช้ในขั้นตอนการผ่านด่านของบรรดารถบรรทุกและรถบัสจากฮ่องกงเป็นอันดับแรก เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคล เช่นลายนิ้วมือและภาพใบหน้า ได้ถูกเก็บไว้ในระบบการเข้าเมืองของแผ่นดินใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนในอนาคตจะมีการขยายขอบเขตไปยังผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวจากฮ่องกง เป็นลำดับถัดไป
เทคโนโลยีที่ใช้จะมาจากการร่วมมือของ อินเทลลิฟิวชัน และ เซินเจิ้น ซีไอเอ็มซี อินเทลลิเจนท์ เทคโนโลยี ซึ่งในส่วนของระบบตรวจจับใบหน้านั้น อินเทลลิฟิวชัน ยืนยันว่ามีระดับความแม่นยำถึง 99.5 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมีความรวดเร็วสูง สามารถคัดกรองคนได้ภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น โดยนอกจากจะช่วยเพิ่มความแม่นยำของ ตม. แล้ว ก็ยังช่วยย่นเวลาการเข้าคิวได้เป็นอย่างมาก
เครื่องตรวจจับทั้ง 3 รูปแบบจะถูกติดตั้งไว้ทั้งสองด้านของเลนขาเข้าและขาออก เพื่อรองรับผู้คนทั้งจากแผ่นดินใหญ่และฮ่องกง สำหรับกล้องถ่ายภาพอินฟราเรดจะใช้ในการตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุคคลภายในรถคือบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริง ด้วยการวัดอุณหภูมิของร่างกาย แยกแยะความแตกต่างระหว่างคนกับสิ่งของ นอกจากนั้นก็จะเป็นตัวควบคุมด้านสุขภาพ ระบุตัวผู้ขับขี่ที่มีอาการป่วยไข้ได้ด้วย
AHEAD TAKEAWAY
สะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2009 และใช้เวลาร่วมสิบปีเพื่อให้แล้วเสร็จ จนได้มาซึ่งสะพานข้ามทะเลยาวที่สุดในโลก 55 ก.ม. โดยมีการใช้เหล็กในการก่อสร้างมากถึง 400,000 ตัน เทียบได้กับการสร้างหอไอเฟลถึง 60 ตัว
ผู้สนับสนุนโครงการระบุว่าสะพานแห่งนี้จะสร้างโอกาสและประโยชน์หลากหลายภายใต้โครงการ “Greater Bay Area” โครงการระดับชาติที่เชื่อมโยงเมืองจีนตอนใต้ 11 แห่ง เข้ากับศูนย์กลางธุรกิจและเศรษฐกิจแบบบูรณาการ โดยการออกแบบให้สามารถเดินทางไปใน 3 เมืองได้ภายใน 1 ชั่วโมง
นอกเหนือจากสะพานแห่งนี้แล้ว อินเทลลิฟิวชัน ยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้ตำรวจของเซินเจิ้นสามารถแสดงใบหน้าของผู้ลักลอบข้ามถนนอย่างผิดกฎหมาย ขึ้นบนหน้าจอ LED ขนาดใหญ่บนแยก และส่งข้อความส่วนตัวถึงบุคคลนั้นๆ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการละเมิด ส่วนเมืองหัวแถวอย่างปักกิ่ง หรือเซี่ยงไฮ้ เวลานี้ก็ได้เริ่มใช้เทคโนโลยีเอไอ และระบบตรวจจับใบหน้าเข้าช่วยในการกำกับการจราจร และระบุตัวผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนกฎจราจรแล้วด้วย
แม้จะต้องลงทุนไม่น้อยเพื่อการติดตั้งเทคโนโลยีนี้ แต่ชัดเจนว่านี่คือตัวช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับหลายสิ่ง ทั้งเพิ่มความเร็วในการผ่านด่าน และให้ความแม่นยำในระดับสูง ไปจนถึงการไม่ต้องใช้แรงงานมนุษย์มากนักในการคัดกรองที่จุด ตม.
ระบบตรวจจับใบหน้าถูกใช้แล้วตามท้องถนนของเมืองจีน, แนวชายแดน, สถานีรถไฟ, สนามบินบางแห่ง และล่าสุดกำลังจะใช้กับสะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า
แม้ในสหรัฐอเมริกา เทคโนโลยีนี้จะถูกต่อต้านจากประชาชนกลุ่มใหญ่ที่มองว่าไม่เป็นผลดีต่อสิทธิส่วนบุคคล แต่สำหรับเมืองจีน ระบบตรวจจับใบหน้ากำลังกลายเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และครอบคลุมทุกภาคส่วนมากขึ้นทุกวัน
เรียบเรียงจาก
China tests facial recognition at border crossing of Hong Kong-Zhuhai-Macau Bridge
President Xi announces opening of Hong Kong-Zhuhai-Macao Bridge
หลายปีมานี้ จะยิ่งเห็นว่าจีนเริ่มแสดงถึงสถานะมหาอำนาจชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพียงแค่ด้านเศรษฐกิจหรือกำลังทหารเท่านั้น แม้แต่ในเรื่องนวัตกรรม ก็เตรียมขึ้นมาเทียบชั้นยักษ์ใหญ่ฝั่งตะวันตกได้ในอนาคตเช่นกัน
AHEAD.ASIA คือสำนักข่าวเจาะลึกด้านนวัตกรรม และธุรกิจ
อย่าลืมกดติดตามเพจและคอมมูนิตี้ของเรา สำหรับเรื่องล้ำๆ และข่าวสารกิจกรรมต่างๆ
เพื่อเราจะได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน