IBM ประกาศยืนยันการเทกโอเวอร์กิจการของ Red Hat ผู้พัฒนาโซลูชั่นด้านโอเพนซอร์ส ซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก เพื่อมุ่งหน้าสู่ ธุรกิจคลาวด์ แบบเต็มตัว ด้วยวงเงิน 34,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,122,000 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ในการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทซอฟต์แวร์ด้วยกัน
เดิม IBM และ Red Hat นั้นเป็นพาร์ทเนอร์ทางด้านธุรกิจมานานกว่าสองทศวรรษแล้ว และต่างก็มีธุรกิจบางส่วนทับซ้อนกัน โดย IBM มี Cloud Private และ Red Hat มี OpenShift แต่เพราะต่างเล็งเห็นว่า ธุรกิจคลาวด์ นั้นยังเติบโตได้อีกมาก จึงตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดของทั้งสองฝ่าย
โดย “The Big Blue” จะซื้อหุ้นทั้งหมดของ Red Hat เป็นเงินสด ในราคาหน่วยละ 190 ดอลลาร์ (ราว 6,270 บาท) ซึ่งสูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน ตอนปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ ที่ 116.68 ดอลลาร์ (ราว 3,850 บาท)
ดีลนี้ นับเป็นการควบรวม ระหว่างบริษัทซอฟต์แวร์ด้วยกันที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ แซงหน้าสถิติเดิม เมื่อครั้ง Microsoft ซื้อกิจการของ LinkedIn ในราคา 26,200 ล้านดอลลาร์ (8.68 แสนล้านบาท)
และเป็นอับดันสามในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั้งหมด ถัดจากข้อตกลงของ Dell กับ EMC เมื่อปี 2016 ที่ 67,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.2 ล้านล้านบาท) และ JDS Uniphase กับ SDL ในปี 2000 และ 41,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.35 ล้านล้านบาท) ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัทก็ยืนยันแล้วว่า IBM จะยังคงพัฒนาเพื่อต่อยอดโซลูชันของ Red Hat ตามแผนเดิม โดยที่ทีมงานของ Red Hat จะทำงานเป็นทีมอิสระ ภายใต้ทีม IBM Hybrid Cloud
ส่วน จิม ไวท์เฮิร์สท์ ซีอีโอของ Red Hat และทีมบริหาร จะได้รับแต่งตั้งให้อยู่ในกลุ่มทีมผู้บริหาร IBM ภายใต้การดูแลของ จินนี โรเม็ตตี ซีอีโอคนปัจจุบันของ IBM
“การซื้อ Red Hat นับเป็นการเปลี่ยนเกม มันจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตลาดคลาวด์ เราจะกลายเป็นผู้ให้บริการระบบคลาวด์ไฮบริดอันดับหนึ่งของโลก นำเสนอโซลูชั่นคลาวด์แบบเปิด ซึ่งช่วยปลดล็อกประสิทธิภาพของคลาวด์ให้ได้อย่างเต็มรูปแบบสำหรับธุรกิจของบริษัทใดใด” โรเม็ตตี กล่าว
ในเว็บไซต์ของ Red Hat ระบุต่อว่าการควบรวมครั้งนี้ ผ่านความเห็นชอบของผู้บริหารทั้งสองบริษัทแล้ว และคาดว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 หรือราวหนึ่งปีนับจากนี้
AHEAD TAKEAWAY
มีการวิเคราะห์จาก Techcrunch ว่าการตัดสินใจซื้อกิจการ Red Hat ในครั้งนี้ เป็นเพราะทาง IBM ได้ประเมินแล้วว่า โอเพ่นซอร์ส และไฮบริด คลาวด์เซอร์วิส จะเป็นธุรกิจที่ส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัท มากกว่าการมุ่งเน้นไปทาง Watson โครงการปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นที่นิยมในวงแคบๆเท่านั้น
เพราะที่ผ่านมา แม้จะมีรายงานว่า Watson ถูกนำไปใช้งานโดยหลายองค์กรในหลายธุรกิจแล้ว แต่ในภาพรวมก็ยังถือว่าไม่กว้างขวางนัก และเคยมีรายงานถึงความผิดพลาดในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง จนถึงขนาดถูกตั้งคำถามจากธนาคารเพื่อการลงทุน Jefferies ถึงความสามารถของโปรแกรมเอไอตัวนี้
การเข้าซื้อ Red Hat จึงถูกมองว่าเป็นความพยายามของ IBM เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน เพราะการรวมตัวของสองบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจคลาวด์ จะส่งผลต่อตลาดคลาวด์ทั่วโลกโดยตรง
เพราะที่ผ่านมาซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส Linux ของ Red Hat ก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายบนเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ของหลายบริษัท ขณะที่ IBM นั้นปัจจุบัน ก็ถือครองส่วนแบ่งในตลาดคลาวด์ เป็นอันดับ 4
การได้ Red Hat ผู้ให้บริการระบบคลาวด์คอมพิวติ้งทางเลือกใหม่ มาร่วมด้วย จึงถูกประเมินว่าจะช่วยให้แบรนด์ IBM เติบโตได้เร็วขึ้นในการแข่งขัน กับสามบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งตลาดคลาวด์ในเวลานี้ ทั้ง AWS ของ Amazon, Azure ของ Microsoft และ Google Cloud ของ Google
เรียบเรียงจาก
IBM to acquire Red Hat in deal valued at $34 billion
Forget Watson, the Red Hat acquisition may be the thing that saves IBM
ทุกวันนี้ “The Big Blue” IBM ไม่ใช่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเหมือนในอดีตแล้ว หลังผันตัวมาให้บริการซอฟต์แวร์และคลาวด์ในธุรกิจองค์กร และปัญญาประดิษฐ์ Watson ก็เป็นหนึ่งในนั้น
AHEAD.ASIA คือสำนักข่าวเจาะลึกด้านนวัตกรรม และธุรกิจ
อย่าลืมกดติดตามเพจและคอมมูนิตี้ของเรา สำหรับเรื่องล้ำๆ และข่าวสารกิจกรรมต่างๆ
เพื่อเราจะได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน