Bloomberg เผยราคาหุ้นของกลุ่ม FAANG หรือ 5 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ Facebook, Amazon, Apple, Netflix และ Alphabet ดิ่งลงอย่างหนัก รายละไม่ต่ำกว่า 20% ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวมแล้วเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (33 ล้านล้านบาท) เลยทีเดียว
ราคาหุ้นของทั้งห้าบริษัทยักษ์ใหญ่ พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องในรอบปีที่ผ่านมา เป็นผลจากการบูมของผลิตภัณฑ์/สินค้าเทคโนโลยี โดยเฉพาะในรายของ Apple และ Amazon นั้น เคยไต่ขึ้นไปถึงการมีมูลค่าล้านล้านดอลลาร์มาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหกสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายๆบริษัทก็เริ่มออกอาการแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด หลังผลประกอบการไม่เข้าเป้า และแนวโน้มไตรมาสสุดท้ายที่ส่อแววไม่กระเตื้องขึ้น
โดยหลังเปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Facebook ตกลงจากสัปดาห์ก่อน 5.9% ซึ่งถือเป็นราคาต่ำสุดในรอบ 20 เดือนเลยทีเดียว
ขณะที่ Netflix ตกไป 6% Amazon 5.3% Apple 4.1% และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google 3.9%
ในกรณีของ Facebook (FB) นั้นได้รับผลกระทบเรื่องความน่าเชื่อถือจากกรณีข้อมูลรั่วไหลผ่าน Cambridge Analytica ที่มีการเปิดเผยออกมาในเดือนมีนาคม โดยข้อมูลเสริมจาก FactSet พบว่าราคาหุ้นของ Facebook นั้นตกลงจากช่วงที่ราคาสูงสุด ถึง 39.5% เลยทีเดียว
ด้าน Netflix (NFLX) นั้น ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในเวลาแค่ 7 เดือน คือ 201.70 ดอลลาร์ เมื่อเดือนมกราคม เป็น 413.50 ดอลลาร์ ในเดือนกรกฎาคม ก่อนจะค่อยๆปรับตัวลง
เพราะยอดผู้ใช้งานที่เติบโตไม่ถึงเป้าที่คาดหวังไว้ ก็เป็นอีกรายที่เจ็บหนักเช่นกัน โดยราคาหุ้นตกจากช่วงสูงสุดถึง 35.6%
ส่วน Amazon (AMZN) ที่มาแรงตลอดช่วงครึ่งปีแรก แต่หลังการประเมินภาพรวมของไตรมาสสุดท้าย และพบว่าน่าจะต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ ราคาหุ้นของบริษัท ก็ดิ่งลงไปราวๆ 25.4% จากราคาสูงสุด
Apple หรือ AAPL อีกหนึ่งบริษัทล้านล้านดอลลาร์นั้น ก็เป็นอีกรายที่ได้รับผลกระทบจากยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง
โดยราคาหุ้นของบริษัทก็ตกไปราว 20.5% ไม่นานหลังมีรายงานจาก Wall Street Journal ว่าบริษัทสั่งตัดยอดการผลิตสมาร์ทโฟนสามรุ่นใหม่ iPhone XR, XS และ XS Max ทั้งที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่ถึงสองเดือน
ส่วน Alphabet (GOOGL) ก็แผ่วลงเช่นกัน ที่ 20.3% ซึ่งเป็นผลจากภาพรวมของ NASDAQ ที่ประสบปัญหาทั้งตลาด
ด้าน CNBC ยังเผยว่านับเฉพาะตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ภาพรวมราคาหุ้นของ NASDAQ ทั้งตลาด ยังตกลงถึง 9.2% ซึ่งถือเป็นสถิติที่แย่ที่สุดภายในหนึ่งเดือน นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2008 เลยทีเดียว
AHEAD TAKEAWAY
แอนดริว สลิมมอน ผู้จัดการกองทุนอาวุโสของ Morgan Stanley ให้ทรรศนะถึงการพลิกจากตลาดกระทิงในช่วงครึ่งปีแรก มาสู่ภาวะตลาดหมีของ NASDAQ
ว่าเกิดจากความคาดหวังสูงของนักลงทุน เพราะเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่ม FAANG ในช่วงครึ่งปีแรก ก่อนที่โมเมนตัมจะเปลี่ยน เมื่อการเติบโตของบริษัทเหล่านี้เริ่มชะลอตัว
คำแนะนำของ สลิมมอน สำหรับนักลงทุนคือควรที่จะรอดูท่าทีของตลาด และประเมินสถานการณ์ก่อน แทนที่จะโดดลงไปเพื่อเสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากขึ้น แม้ในมุมมองส่วนตัว สภาวะของ NASDAQ ในปัจจุบัน จะไม่สาหัสเหมือนตอนฟองสบู่ไอทีแตก ช่วงปี 2000 ก็ตาม
สลิมมอน ยังเลือกชี้ในแง่บวกว่า ภาพรวมของ Netflix หรือ Amazon ยังถือว่าเป็นบวกด้วยซ้ำ สำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัทไว้ก่อนที่ราคาจะดีดตัวตอนต้นปี
ด้าน แฟรงค์ เดวิส ผู้อำนวยการของ LEK Securities ก็เสริมว่าหลังผ่านช่วง 6 สัปดาห์นี้ไป น่าจะเริ่มเห็นภาพที่แท้จริงของตลาดมากขึ้น และไม่น่าจะมีการโหมหนักเหมือนในรอบปีที่ผ่านมาอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม เจสัน คาลาเคนิส อดีตผู้ถือหุ้น Facebook ซึ่งตัดสินใจขายหุ้นโซเชียลเน็ตเวิร์คเบอร์หนึ่งทิ้งหมด เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดหลายๆอย่างของ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก เชื่อว่าสถานการณ์ย่ำแย่ของ FB อาจจะหนักข้อกว่านี้ก็ได้ เพราะมีปัจจัยอื่นๆเกี่ยวข้อง นอกจากภาวะตลาดซบเซาอย่างเดียว ถึงขนาดเปรยว่าอาจรุนแรงเหมือนที่เคยเกิดกับ AOL หรือ Yahoo! อดีตยักษ์ใหญ่ในยุคก่อนฟองสบู่แตกเลยทีเดียว
เรียบเรียงจาก
It’s Official: Once Mighty FAANG Stocks Have All Entered a Bear Market
The five most important tech stocks are getting slaughtered, with each down more than 20% from highs
FAANG Stocks Are Getting Knocked Again
AHEAD.ASIA คือสำนักข่าวเจาะลึกด้านนวัตกรรม และธุรกิจ
อย่าลืมกดติดตามเพจและคอมมูนิตี้ของเรา สำหรับเรื่องล้ำๆ และข่าวสารกิจกรรมต่างๆ
เพื่อเราจะได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน