ทิม คุก ซีอีโอ Apple ส่งจดหมายแจ้งผู้ถือหุ้น รายรับในไตรมาสแรกของปี 2019 น่าจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 9 พันล้านดอลลาร์ (2.8 แสนล้านบาท) หรือราวๆ 7.6% โดยมีเหตุผลหลักๆอยู่ที่ยอดขาย iPhone X ใหม่ทั้งสามรุ่น ทำได้ไม่ถึงที่คาด
เดิมค่ายผลไม้ ตั้งเป้ารายได้ในสามเดือนแรกของปี ไว้ที่ 93,000 ล้านดอลลาร์ (2.98 ล้านล้านบาท) แต่หลังเจอความผันผวนในหลายๆเรื่อง ส่งผลให้ คุก และทีมผู้บริหารประเมินสถานการณ์ใหม่
คาดว่ารายรับในไตรมาสแรก จะลดลงเหลือ 84,000 ล้านดอลลาร์ (2.69 ล้านล้านบาท) ซึ่งต่ำกว่าเป้าเดิม อยู่ราวๆ 9 พันล้านดอลลาร์ (2.8 แสนล้านบาท) แม้ยอดขายของอุปกรณ์อื่นๆ เช่น Apple Watch และบริหารอื่นๆ จะเติบโตขึ้นเกือบ 19% ก็ตาม
ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชน คุก ได้อธิบายเหตุผลที่ทำให้บริษัทไม่อาจทำรายได้ตามที่หวังไว้ ว่ามีหลายปัจจัย
ไม่ว่าจะเป็นการถดถอยของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของ iPhone พ่วงด้วยผลจากสงครามการค้าระหว่างทั้งสองประเทศในช่วงที่ผ่านมา
รวมถึงปัจจัยย่อยอื่นๆ อาทิ ช่วงเวลาการเปิดตัวที่ไม่เหมาะสม การแข็งตัวของเงินยูเอสดอลลาร์ ข้อจำกัดด้านอุปทาน หรือแม้แต่นโยบายของบริษัทที่เสนอให้ลูกค้าเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPhone รุ่นเก่าได้ในราคาถูก จนผู้บริโภคเลือกที่จะใช้สมาร์ทโฟนรุ่นเก่าต่อไป แทนการซื้อใหม่ ฯลฯ
คุก ยังได้ให้สัมภาษณ์กับ CNBC เพิ่มเติมว่า “ถ้าคุณลองดูผลประกอบการของเรา จะเห็นว่าที่ดร็อปลงไปนั้นเกิดจาก iPhone ล้วนๆ และหลักๆก็มาจากยอดขายในจี”
ขณะเดียวกัน ไม่กี่ชั่วโมงหลังจดหมายฉบับนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Apple ตกลงอีกราว 8% หรือคิดรวมเป็น 30% แล้ว นับจากขึ้นถึงจุดสูงสุดในเดือนตุลาคม นับเป็นค่าเฉลี่ยที่แย่ที่สุดของบริษัทในรอบทศวรรษเลยทีเดียว
สามารถอ่านรายละเอียดจดหมายของ ทิม คุก ถึงผู้ถือหุ้น ได้ ที่นี่
AHEAD TAKEAWAY
แม้จะเป็นทั้งอริและคู่แข่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จีน คือคู่ค้าที่สำคัญของสหรัฐ
เมื่อสภาพเศรษฐกิจของจีนเกิดถดถอย ผนวกด้วยสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ ก็ทำให้บริษัทชั้นนำหลายแห่งของสหรัฐ พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่ใช่แค่ Apple เพียงรายเดียวเท่านั้น
FedEx ผู้ให้บริการขนส่งสินค้า ต้องปรับลดเป้าหมายรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2019 เช่นกัน โดย เฟร็ด สมิธ ซีอีโอของบริษัทกล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ว่า มาจาก “การตัดสินใจทางการเมืองที่ผิดพลาด”
แม้จะไม่ได้ระบุชื่อ แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าหมายถึงใครและเรื่องอะไร
Starbucks ก็เป็นผู้เล่นรายใหญ่อีกรายที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้จีนเป็นตลาดใหญ่ในธุรกิจของตนเอง กระทั่งเมื่อเดือนธันวาคม อัตราการเติบโตด้านยอดขายในจีน ก็ชะลอตัวจนเหลือเพียง 1% ซึ่งถือว่าต่ำมาก เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 3-4% ในสหรัฐและบริเวณอื่นๆของโลก
ขณะที่ในกรณีของ Apple อาจไม่ได้เป็นผลจากสงครามการค้าเพียงอย่างเดียว
เพราะก่อนหน้านี้ มีรายงานจากบริษัทวิจัย Gartner มาแล้วว่ายอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกเริ่มถดถอยลงเป็นครั้งแรก แสดงว่าอุตสาหกรรมนี้เริ่มชะลอตัวลงจริงๆ ด้วยปัจจัยหลายๆด้าน เช่น ราคาที่เริ่มสูงเกินไป เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ไม่ต่างจากเดิมมาก ทำให้ผู้บริโภคลังเลที่จะอัพเกรดเครื่องแบบปีต่อปีเหมือนที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ก็มีนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่ง เริ่มมองว่ากระแสกำลังเปลี่ยนไปทางอุปกรณ์อื่นๆในอนาคตอันใกล้ (เห็นได้จากยอดขาย Apple Watch ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่บริษัทครองส่วนแบ่งตลาด แวเรเบิล ดีไวซ์ ไว้ได้เกือบหมด)
อย่างไรก็ตาม แพทริค มอร์เฮด นักวิเคราะห์อีกราย ก็มองว่าการแผ่วลงของอุตสาหกรรมนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องด่วนตระหนก เพราะเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้แล้ว โดยเฉพาะ Apple ที่หาทางออก ด้วยการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์และบริการไปด้านอื่นๆมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
แต่เหล่านักลงทุนก็อาจจะต้องยอมรับว่ามูลค่าของบริษัทอาจจะไม่พุ่งพรวดพราดเหมือนในช่วง 10 เดือนแรกของเมื่อปีก่อนอีก แต่โอกาสที่จะรุนแรงถึงขนาดฟองสบู่แตกนั้นยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจน
เรียบเรียงจาก
Apple just warned its holiday quarter was a huge miss, and the stock is getting crushed
Apple lowers guidance on Q1 results, cites China trade tensions
Apple expects to lose $9 billion in Q1 revenue over slowing iPhone sales
Apple Isn’t the Only Casualty of China’s Slowdown
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า