ตลาด รถไร้คนขับ ถึงคราวระอุ เมื่อยักษ์ใหญ่ของวงการอย่าง Toyota ประกาศว่ารถรุ่นใช้งานจริงของบริษัทฯ พร้อมเปิดตัวสู่ท้องตลาด ในปี 2020 พร้อมคุยทับแบรนด์อื่น ว่าเป็น “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ติดล้อที่ฉลาดที่สุด”
รถยนต์ไร้คนขับ (self-driving car) ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตอันใกล้ เช่นเดียวกับรถพลังไฟฟ้า (EV) แต่กลับยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างเท่าที่ควร เห็นได้จากกระแสต้านแท็กซี่ไร้คนขับของ Waymo ในรัฐแอริโซนา เมื่อเร็วๆนี้
อย่างไรก็ดี โอกาสของ รถไร้คนขับ ที่จะได้ไปต่อ ก็เริ่มเห็นภาพชัดขึ้น เมื่อผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ลำดับต้นๆของโลกอย่าง Toyota ประกาศตัวพร้อมผลักดันอุตสาหกรรมนี้ โดย เจมส์ คัฟฟ์เนอร์ ซีอีโอศูนย์วิจัย Toyota Research Institute Advanced Development Inc. หรือ TRI-AD เผยว่าโครงการนี้อยู่ระหว่างพัฒนา เพื่อให้พร้อมเปิดตัวสู่ท้องตลาดได้ในปีหน้า
“รถตัวต้นแบบที่ทีมของเรากำลังสร้างที่ TRI-AD กำลังจะเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ติดล้อที่ฉลาดที่สุด” ดัฟฟ์เนอร์ กล่าว “การที่จะสร้างเทคโนโลยีนี้และนำออกสู่ตลาดให้ได้ เราเรียกมันว่าภารกิจสู่ดวงจันทร์”
“คุณอาจคิดว่าการสร้างตัวต้นแบบเพื่อการวิจัยมันทำได้ง่าย แต่การสร้างผลิตภัณฑ์จริงออกมานั้นเป็นเรื่องยาก ทุกครั้งที่มีการหารือในที่ประชุมบริษัท เราก็มักจะพูดถึงการเป็นสะพาน ที่จะนำพาต้นแบบไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์จริง”
ตามแผนการเปิดตัว Toyota มีรถต้นแบบในตอนนี้มากกว่า 1 รุ่น หนึ่งในนั้นคือ Lexus LS ซึ่งได้รับการดัดแปลงให้เป็นห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ ส่วนซอฟต์แวร์ในการขับเคลื่อนรถนั้น ได้มีการร่วมมือกับซัพพลายเออร์ของบริษัท อย่าง Aisin Seiki และ Denso ภายใต้งบประมาณกว่า 2,800 ล้านดอลลาร์ (ราว 92,400 ล้านบาท)
“นี่คือยานพาหนะอัตโนมัติตัวแรกของเรา” เคน โคอิบูชิ หัวหน้าฝ่ายเทคนิค (ซีทีโอ) ของ TRI-AD กล่าว “มันมีระบบประมวลผลประสิทธิภาพสูง และเซนเซอร์ที่มีความสมบูรณ์มาก ดังนั้นมันจึงมีราคาแพงมาก และการติดตั้งเข้าสู่รถขนาดกลาง เราก็ต้องพยายามลดต้นทุนลงอย่างมาก”
AHEAD TAKEAWAY
รถไร้คนขับ เป็นไอเดียที่เกิดขึ้นจากคนไม่กี่คนในแวดวงแคบๆ เมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้ว หนึ่งในนั้น คือ เซบาสเตียน ธรัน อดีตผู้อำนวยการแผนกวิจัย AI ของ ม.สแตนฟอร์ด และผู้ร่วมคิดค้น Google Street View
ก่อนที่ ธรัน และทีมวิศวกรของสแตนฟอร์ด จะก่อตั้ง Google X และ Waymo ที่ขยายจากฝ่ายพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของ Google มาเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของ Alphabet ในเวลาต่อมา และมีส่วนกระตุ้นให้หลายๆบริษัทซึ่งมีไอเดียคล้ายๆกัน หันมาเน้นเทคโนโลยีนี้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นค่ายรถยนต์อื่นๆ สตาร์ทอัพรุ่นใหม่อย่าง Tesla และ Uber หรือแม้แต่ Apple ก็เคยมีข่าวพัฒนารถไร้คนขับของตัวเอง ภายใต้โครงการ Project Titan ด้วย
แต่จากผลสำรวจเมื่อปีที่แล้ว พบว่ามีประชากรอเมริกัน เพียง 33% เท่านั้น ที่สนใจจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้ในอนาคต ด้วยเหตุผลง่ายๆไม่ซับซ้อนว่า “กลัว” และ “ไม่ไว้ใจ”
การจะทำให้รถไร้คนขับเป็นที่ยอมรับได้ แต่ละบริษัทในอุตสาหกรรมจึงต้องพยายามยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานเชื่อว่า “ความปลอดภัย” ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่รถไร้คนขับต้องการนำเสนอ เป็นเรื่องจริง
การประกาศลงสนามแบบเต็มตัวของผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Toyota ก็น่าจะช่วยให้ภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ชัดเจนขึ้น
และน่าจะเป็นการเปิดตัวแบบถูกที่ถูกเวลาด้วย เพราะในเวลานั้น ญี่ปุ่นกำลังจะมีมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวพอดี และรัฐบาลญี่ปุ่นก็เคยประกาศไว้แล้วว่าจะพยายามนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ ระหว่างจัดการแข่งขัน เพื่อแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยี รวมถึงวางรากฐานในอนาคตให้กับประเทศที่กำลังจะขาดแคลนแรงงาน และเป็นสังคมผู้สูงอายุด้วย
หากรถไร้คนขับวิ่งได้ฉลุยในการเปิดตัวแบบใช้งานจริงใน โอลิมปิก ที่กรุงโตเกียว “ความกลัว” ที่เคยฝังตัวอยู่ในความคิดของหลายคน ก็น่าจะอ่อนกำลังลง จนเริ่มไว้วางใจเทคโนโลยีนี้ได้ในที่สุด
เรียบเรียงจาก
Report: Toyota will have a self-driving car for sale in a year
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า