รถไร้คนขับ

ผลสำรวจ AVRI เผย สิงคโปร์ รั้งอันดับ 2 ประเทศพร้อมใช้รถไร้คนขับ เนเธอร์แลนด์ เบอร์หนึ่งสองปีซ้อน

สิงคโปร์ ชาติในอาเซียน รั้งอันดับ 2 จากผลการสำรวจด้านความพร้อมในการใช้ รถไร้คนขับ จากรายงาน Autonomous Vehicles Readiness Index (AVRI) ประจำปี 2019 ขณะที่ เนเธอร์แลนด์ เป็นชาติที่มีความพร้อมในด้านนี้มากที่สุด

รายงานฉบับดังกล่าว ซึ่งจัดทำขึ้นโดย เคพีเอ็มจี บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจ ร่วมกับ ESI ThoughtLab สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคใน 25 ประเทศทั่วโลก เกี่ยวกับทัศนคติ และแนวโน้มที่จะใช้รถยนต์ไร้คนขับ พร้อมประเมินความพร้อมสำหรับเทคโนโลยีดังกล่าว จากเกณฑ์หลักๆ 4 ข้อ ประกอบด้วย 1) นโยบายและกฎหมาย 2) เทคโนโลยีและนวัตกรรม 3) โครงสร้างพื้นฐาน 4) การยอมรับของผู้บริโภค

ผลปรากฎว่า เนเธอร์แลนด์ เป็นชาติที่พร้อมที่สุดสำหรับการใช้ รถไร้คนขับ ติดต่อกันเป็นปีที่สอง ตามมาด้วย สิงคโปร์ นอร์เวย์ สหรัฐอเมริกา และสวีเดน

“ผลสำรวจ AVRI บ่งชี้ว่าแต่ละประเทศมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในการเตรียมความพร้อมสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ” ริชาร์ด เธรลฟอลล์ ประธาน ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐาน เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว

“ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของแต่ละประเทศมุ่งที่จะสนับสนุนการพัฒนาระบบขนส่งให้ทันสมัย และสร้างให้เกิดความมั่นใจว่านวัตกรรมรถยนต์และรถบรรทุกไร้คนขับจะสร้างประโยชน์ต่อประเทศได้อย่างแท้จริง”

Baidu เตรียมเปิดบริการบัสไร้คนขับในจีน,ญี่ปุ่น

10 ประเทศที่พร้อมสำหรับการใช้รถยนต์ไร้คนขับในอนาคตมากที่สุด จากผลสำรวจ AVRI

ประเทศ อันดับในปี พ.ศ. 2562 อันดับในปี พ.ศ. 2561
เนเธอร์แลนด์ #1 #1
สิงคโปร์ #2 #2
นอร์เวย์ #3 ใหม่
สหรัฐอเมริกา #4 #3
สวีเดน #5 #4
ฟินแลนด์ #6 ใหม่
สหราชอาณาจักร #7 #5
เยอรมนี #8 #6
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ #9 #8
ญี่ปุ่น #10 #11

 

รายงานฉบับดังกล่าว ยังได้เก็บประเด็นสำคัญจากสองประเทศที่พร้อมใช้รถยนต์ไร้คนขับมากที่สุดไว้ด้วย

  • เนเธอร์แลนด์ ซึ่งครองอันดับหนึ่ง เป็นปีที่สองติดต่อกัน กำลังร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการนำเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับมาใช้ในการขนส่งสินค้า และมีแผนนำรถบรรทุกไร้คนขับกว่า 100 คัน มาใช้ในการขนส่งระหว่างเส้นทางหลัก จากเมืองอัมสเตอร์ดัม ไปยังเมืองแอนต์เวิร์ป และเมืองรอตเทอร์ดาม ไปจนถึงหุบเขารัวร์
  • สิงคโปร์ ซึ่งได้อันดับ 2 มีการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในการสร้างเมืองจำลอง สำหรับทดลองใช้รถยนต์ไร้คนขับ โดยในเมืองนั้นมีไฟจราจร ป้ายรถเมล์ ตึกสูง และเครื่องทำฝนเทียม เพื่อสร้างสภาพอากาศที่ร้อนชื้น เพื่อให้สะท้อนถึงภูมิอากาศของประเทศในเขตร้อนชื้น

ผู้บริโภคคือแรงผลักดัน

เพื่อให้เห็นภาพกว้างมากขึ้น ทาง เคพีเอ็มจี ได้เพิ่มการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคเพิ่มเติมด้วย ประเด็นที่น่าสนใจ คือประชากรในประเทศที่พร้อมต่อการใช้รถยนต์ไร้คนขับในระดับรองๆ ลงมา เช่นใน อินเดีย (อันดับ 24) และเม็กซิโก (อันดับ 23) กลับให้ความสนใจมากกว่าคนในชาติที่มีความพร้อมระดับสูงๆ

“ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคจะเป็นแรงผลักดันการใช้รถยนต์ไร้คนขับ” เธรลฟอลล์ กล่าว

“ตราบใดที่ผู้บริโภคยังไม่เปิดรับรถยนต์ไร้คนขับเป็นวงกว้าง ก็ยากที่ตลาดรถยนต์ไร้คนขับจะพัฒนาและสร้างประโยชน์ได้ ผู้บริโภคในประเทศที่พัฒนาน้อยกว่ามีความสนใจที่จะเปิดรับรถยนต์ไร้คนขับมากกว่า ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมแบบก้าวกระโดด ในส่วนของผู้บริโภคในประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้วนั้น มีความสนใจในการใช้รถยนต์ไร้คนขับที่น้อยกว่า ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการชะลอในการนำรถยนต์ไร้คนขับมาใช้งาน”

โพลฟ้องคนอเมริกันไม่กล้าใช้รถไร้คนขับ

เคพีเอ็มจีแนะไทยมุ่งพัฒนาซอฟต์แวร์ควบคุมควบคู่การผลิต

ด้าน คุณธิดารัตน์ ฉิมหลวง ประธานฝ่ายดูแลลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม เคพีเอ็มจี ประเทศไทย ยังได้นำเสนอมุมมองในการเตรียมความพร้อมสำหรับเทคโนโลยีนี้ ในประเทศไทยไว้ด้วย

“เพื่อให้ประเทศไทยพร้อมต่อการใช้รถยนต์ไร้คนขับ จำเป็นต้องมีการพิจารณา และปรับกฎหมายให้รองรับ มีการวางผังเมือง และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมต่อการใช้รถยนต์ไร้คนขับ และสิ่งสำคัญคือต้องมีตลาดรองรับ”

“ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก เราเล็งเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการจะขยายศักยภาพจากการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ ให้ครอบคลุมสู่การเป็นศูนย์กลางการพัฒนาซอฟต์แวร์ในการควบคุมยานยนต์  เพื่อคงไว้ซึ่งการเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก”

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AVRI และผลประเมินของแต่ละประเทศได้ที่

 

AHEAD TAKEAWAY

นอกจากรถพลังไฟฟ้า (EV) แล้ว รถไร้คนขับ (Self-driving car) ก็เป็นอีกเทคโนโลยีที่ได้รับการผลักดันจากแทบทุกผู้เล่นในอุตสาหกรรมรถยนต์

จากรายงานของ AVRI ยังแสดงให้เห็นว่าไมใช่แค่ สหรัฐฯ หรือ จีน ที่เป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี แต่หลายๆชาติได้เริ่มต้นเตรียมความพร้อมสำหรับการมาถึงของ รถไร้คนขับ ไว้แล้ว

เช่นใน นอร์เวย์ ที่อนุญาตให้มีการทดสอบบนถนนสาธารณะ และมีแผนการทดลองใช้แท็กซี่ไร้คนขับในปีหน้า จนได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับ 3 ในปีล่าสุด ทั้งที่ปีก่อนไม่มีชื่อในลิสต์ด้วยซ้ำ

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือการเตรียมความพร้อมเหล่านี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องพัฒนาซอฟต์แวร์หรือตัวรถเพียงอย่างเดียว แต่ยังใส่ใจถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเทศด้วย

เช่น ในสิงคโปร์ มีการใช้เครื่องทำฝนเทียม สร้างสภาพอากาศที่ร้อนชื้น เพื่อตรวจสอบว่าระบบนำทางของรถไร้คนขับจะมีปัญหาหรือไม่ ในสถานการณ์ที่ต่างจากในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นต้นทางของเทคโนโลยีนี้ หรือฟินแลนด์ที่ทดสอบรถในสภาพอากาศหนาวจัด รวมถึงเปลี่ยนสีเส้นบนถนนจากสีเหลืองเป็นสีขาว เพื่อให้เหมาะกับระบบนำทางของรถไร้คนขับมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นอื่นๆที่จะตามมาด้วย เช่นการที่บางอุตสาหกรรมถูก disrupt จากชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไปของเรา เช่น พนักงานขับรถ ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ เวลาที่เคยเสียไปในการขับรถ จะกลายเป็นเวลาว่างระหว่างการเดินทาง เปิดโอกาสให้สามารถใช้ไปกับการทานอาหาร หรือความบันเทิงต่างๆ หรือแม้แต่ธุรกิจประกันภัยซึ่งคงต้องปรับตัวขนานใหญ่ ถ้ารถไร้คนขับทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุลดลงได้จริง

 

อุบัติเหตุรถไร้คนขับ ใครรับผิดชอบ?

 

และชาติไหนที่นิ่งนอนใจไม่ขยับตัว มองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นของไกลตัว ก็น่าจะจบลงด้วยการเป็นผู้ตาม และถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆในโลกที่หมุนเร็วอย่างทุกวันนี้ด้วย

 

อ่านเพิ่มเติม

แผนที่…อนาคตของยานยนต์ไร้คนขับ

5 สัญญาณเตือน ปิดฉากอุตสาหกรรมรถยนต์

AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า

Subscribe to Our Newsletter

Loading
Total
1
Shares
Previous Article
รวยที่สุดในโลก

เบโซส ยังรั้งเบอร์หนึ่งรวยที่สุดโลก ไคลี เจนเนอร์ ทุบสถิติบิลเลียนแนร์อายุน้อย

Next Article
Unfriend

Unfriend : เมื่อมิตรภาพพังทลายในหน้าที่

Related Posts