อีก 10 ปีข้างหน้า ศูนย์กลางของประเทศไทยอย่างกรุงเทพมหานครจะเป็นอย่างไร?
นั่นคือคำถามที่หลายคนอยากรู้ จนเป็นที่มาของงาน Bangkok Foresight 2030 ที่เป็นการรวมตัวกันของบุคลากรหลากหลายสาขา ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถึงภาพอนาคตที่เป็นไปได้ของมหานครแห่งนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการร่วมกันพัฒนาต่อไป
หลายคนอาจได้ฟังและอ่านทรรศนะของสปีกเกอร์ของงานกันจากสื่อต่างๆบ้างแล้ว
มาลองดูความเห็นของผู้ฟังในงานกันบ้างดีกว่า กับ Guest Contributor
คุณบ๊อบบี้ ภาคภูมิ มะหะสิทธิ์ CEO บริษัท EcoloTech ผู้พัฒนานวัตกรรมผลิตน้ำจากโมเลกุลอากาศ และยังมีบทบาทด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในหลายๆโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน
กับคำถาม 7 ข้อที่เกิดขึ้นหลังงานนี้…
จากการไปร่วมฟังภาพอนาคตของเมืองกรุงเทพฯ Bangkok Foresight ด้วยหวังว่าจะเห็นทางออกเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ผลปรากฏว่า ยังไม่เห็นทางออก
จากนี้ คือความเห็นส่วนตัวว่า เพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น?
#1
ปัญหาเรื่อง owner landlord
เมื่อมองไปทั่วกทม. จะเห็นว่าที่ดินส่วนใหญ่เป็นของเอกชน ตึกรามบ้านช่องที่กลายเป็นคอนโดบ้าง เป็นตึกแถว หรือเป็นห้างสรรพสินค้า รัฐไม่สามารถเข้าไปทำอะไรได้แล้ว
การต้องการเพิ่มต้นไม้ในเมือง หมายถึงการเพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะ ปัญหาคือผมยังไม่เห็นว่าจะมีเอกชนรายไหนพร้อมยกที่ดินให้รัฐนำไปทำด้วยจิตกุศล
หรือรัฐจะไปเวนคืนที่เพื่อทำสวนสาธารณะให้เรากันดีครับ?
#2
การเพิ่มต้นไม้ริมถนน
ถ้าสังเกตุให้ดีทางเท้าเราแคบมาก ปลูกต้นไม้ต้นเดียวก็เต็มแล้ว สมมติ ถ้าอยากปลูกต้นไม้เพิ่มอีกต้น
แปลว่าต้นไม้ที่เราจะปลูกต้องยืนเบียดกับเสาไฟ
#3
เรายังจัดการกับหาบเร่แผงลอยไม่ลงตัว
ที่ผ่านมา เราใช้วิธีไปไล่พ่อค้าแม่ค้าออกจากฟุตบาธ โดยไม่สนใจรับผิดชอบอะไรต่อเลย เราทำระบบนี้มาเป็นจะครึ่งศตวรรษแล้ว จนสร้างวงจรการคอรัปชั่นขึ้นอีกสาย
ผลคือทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพราะเราใช้เลนส์มองคนจนเป็นส่วนเกินของสังคมเมือง
ขณะเดียวกัน ถนนที่ขาดหาบเร่แผงลอย กลับเป็นถนนที่คนไม่อยากเดิน อารมณ์ประมาณตอนปลายเดือนอยากหาของถูกกินก็รัก พออิ่มเสร็จสรรพ ก็จะไล่เค้าไป เพราะเกะกะทางเดิ
ปัญหานี้สิงคโปร์มีทางออก แต่รัฐไทยไม่มี เพราะมันไปเกี่ยวเนื่องกับต้นทุนเมืองที่ที่ดินอยู่ในมือเอกชนและแสนแพง
#4
เรายังคงให้อำนาจกับรถส่วนตัว
ถนนหนึ่งเลนถูกแบ่งมาใช้เป็นที่จอดรถฟรี ทั้งๆที่มันควรจะถูกนำมาสร้างรายได้ให้กับเมืองได้
ลองนึกถึงถนน 1 สาย 2 ฝั่งคือที่จอดรถ เราเสียพื้นที่ไปเท่าไหร่ แล้วรัฐกล้าที่จะลงมาจัดการตรงนี้รึเปล่า นอกจากการเขียนใบสั่ง ซึ่งนานๆมาที
สิ่งที่รัฐควรทำคือเอาถนน 1 เลนนั้น มาสร้างรายได้ให้รัฐเพิ่ม หรือไม่งั้นก็เปลี่ยนเป็นพื้นที่สีเขียวไปแทนเลย
#5
การเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ
เรามีผังเมืองที่ต่างจากเมืองนอก เพราะในประเทศที่เจริญแล้ว ขนส่งสาธารณะเข้าไปได้ใกล้ที่สุด คือที่ walking distance ต่ำกว่าระยะ 500 เมตร
แต่ของเรา สมมติ บ้านคุณอยู่เสนาฯ หรือบางใหญ่ คุณจะทำไงต่อดี ถ้าไม่มีรถ
การไม่มีการเชื่อมโยงที่ดีพอ ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะของเรา ช่วยลดการซื้อรถส่วนตัวไม่ได้จริง
#6
ที่ดินกลางเมืองที่แพงขึ้นเรื่อยๆ
พื้นที่ในแถบสีลมหรือสาทร ที่ราคาดีดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ย่านกลางเมืองแบบนี้ร้างยามค่ำคืน เหตุผลคือคนทำงานไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยราคาแพงในเขตนั้นได้ พอไม่มีคนอยู่ ก็ทำให้การค้ายามค่ำคืนแถวนั้นซบเซา
จะสังเกตว่าราคาอาหารแถวนั้นแพงกว่าย่านอื่นๆ แต่การที่แพงขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการต้องรีบทำกำไรในระยะเวลาอันสั้น
ไปๆมาๆ กลายเป็นว่าย่านสาทรเหี่ยวเฉาลง แต่ย่านที่ไกลออกไปอย่างพระรามเก้าดันบูมแทน
สิ่งที่ควรจะให้เกิดขึ้นคือ Social Housing กลางเมืองครับ ไม่ใช่บ้านเอื้ออาทรที่คนต้องออกไปนอนนอกเมืองร้อยกว่าโล เพื่อตื่นเช้ามืดเข้ามาทำงานในเมือง
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป แล้วใครจะอยากเข้ามาทำงาน ในเมื่อเงินเดือนเท่าเดิม แต่ค่าเดินทางสูงขึ้น
#7
การไหลเวียนของทิศทางลม
เมื่อเมืองถูกสร้างตามความพอใจของเจ้าของที่และนักลงทุน แม้เราจะมีกฎหมายควบคุมความสูงของอาคาร แต่กฎหมายควบคุมเส้นทางของลมนี่ไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า
ฉะนั้นเมื่อเวลาที่เกิด PM2.5 และความร้อนจากรถยนต์ แอร์ ในเมือง มันก็ถูกกักอยู่ในนี้
ยิ่งร้อน ก็ยิ่งเปิดแอร์ คนเดินถนนร้อนแทบตาย หันมองไปทางไหน ต้นไม้ก็โหรงเหรง ไม่มีทางให้ลมพัดผ่าน นี่ไม่ต้องพูดถึงบ้านห้องแถวที่ถูกปิดกั้นทางลมจากทุกทาง สุดท้ายก็บีบให้ต้องเปิดแอร์ ที่ยิ่งทำให้อากาศรอบนอกร้อนขึ้นไปอีก
จะเห็นว่าจากทั้ง 7 ข้อที่ผมยกมา ทุกสิ่งมันเชื่อมต่อกันครับ
สิ่งแวดล้อม
เมือง
…และความสามารถของรัฐบาล
ยิ่งพอเห็นโครงการของรัฐที่พยายามจะปั้นให้กทม.โตเป็น Mega city แบบจีนแล้ว ความรู้สึกที่ตามมา ก็คือ มันใช่เหรอ? ที่ทำไปนี้ เพื่อใครกันแน่?
การทำ Foresight คงไม่ต่างอะไรกับความฝัน ถ้ายังแก้ปัญหาใต้ภูเขาน้ำแข็งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้
คุณคิดว่าคุณจะทนอยู่เมืองแบบนี้ได้ทั้งชีวิตมั้ย
ส่วนทางแก้…….ไว้มีโอกาสจะลงมือทำให้เห็นครับ
Our guest contributor: ภาคภูมิ มะหะสิทธิ์ อดีตนักธุรกิจด้านเวชสำอาง ซึ่งใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศสนานกว่า 20 ปี ทั้งในการเรียน และทำงานกับแบรนด์ระดับโลกมากมาย อาทิ Adidas, Peugeot, L’Oreal Paris ฯลฯ และพบว่าการทำธุรกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม คือปัจจัยหลักของบริษัทระดับโลกเหล่านี้ จนนำมาสู่แนวคิดที่จัดตั้งบริษัท Ecolotech เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยความคิดใหม่ที่แก้ปัญหาได้อย่างตรงประเด็น
ติดตาม guest contributor คนอื่นๆของเราได้ ที่นี่
Photo by