เจฟฟ์ เบโซส ซีอีโอ Amazon และผู้ก่อตั้ง Blue Origin เชื่อในอนาคต วิกฤตด้านพลังงานจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับมนุษยชาติ และทางออกคืออาจต้องหาแหล่งพลังงานอื่นๆในระบบสุริยะ และย้ายไปอาศัยบนโคโลนีขนาดยักษ์ในอวกาศแทน
เบโซส แสดงความกังวลถึงปัญหาวิกฤตด้านพลังงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อคนในยุคต่อๆไป พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันหาทางแก้ไข
“เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาในระยะยาวที่จะเกิดขึ้น นั่นคือปัญหาขาดแคลนพลังงาน มันคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะเกิดขึ้นแน่นอน” เบโซส กล่าว
“นี่จะเป็นครั้งแรกที่ลูกหลานของเรามีชีวิตที่ลำบากว่ายุคสมัยที่เราอยู่ในตอนนี้”
เบโซส กล่าวต่อว่าในอนาคต อุตสาหกรรมหนักเช่นการขุดหาแร่และพลังงาน จะถูกย้ายไปปักหลักบนดินแดนอื่นในระบบสุริยะ เพื่อให้โลกและบริเวณโดยรอบถูกใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยสำหรับมนุษย์
ขณะที่ มนุษยชาติอาจต้องทยอยย้ายไปอาศัยโคโลนีขนาดยักษ์ทรงกระบอกที่ลอยตัวอยู่รอบโลก โดยโคโลนีเหล่านี้ จะมีองค์ประกอบหลักเป็นทรงกระบอกสองส่วนที่หมุนสวนทางกัน เพื่อให้เกิดแรงโน้มถ่วงสำหรับคนที่อาศัยอยู่บนนั้น ตามทฤษฏีของนักฟิสิกส์ เจอราร์ด โอนีล และเคยปรากฎในภาพยนตร์ไซไฟอย่าง 2001: A Space Odyssey มาก่อน
“การย้ายไปอาศัยบนโคโลนีในอวกาศ จะมีข้อดีมากมาย ข้อสำคัญคือเราจะยังคงอยู่ใกล้ชิดกับโลกใบนี้” เบโซส กล่าว
“โลกคืออัญมณีล้ำค่าของระบบสุริยะ แล้วทำไมเราจะต้องทำลายมันด้วยอุตสาหกรรมหนักด้วย มันไม่มีเหตุผลสมควรเลย”
พร้อมกันนี้ เบโซส ยังได้เปิดตัว Blue Moon ยานสำหรับจอดบนดวงจันทร์ ที่พัฒนาขึ้นโดยทีมงานของ Blue Origin และจะถูกส่งไปพร้อมกับจรวด New Glenn ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่ BE-7 และจะทำการทดสอบเป็นครั้งแรกในเร็วๆนี้ หลังจากที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการทดสอบจรวด New Shepard พร้อมงานวิจัยต่างๆขึ้นสู่อวกาศมาแล้วหลายครั้ง (อ่านเพิ่มเติม – Blue Origin หอบทุเรียนไทยไปอวกาศ)
Bezos รับ 1.1 พันล้านดอลลาร์ หลังแบ่งขาย Amazon หนึ่งล้านหุ้น
AHEAD TAKEAWAY
ปัญหาเรื่องพลังงานที่ เบโซส กล่าวถึงนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทุกคนบนโลก
แม้ที่ผ่านมา จะมีความพยายามนำพลังงานทางเลือกอื่นๆมาใช้ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งก็มีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นผลจากเทคโนโลยีด้านนี้ที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง
แต่ตัวเลขที่น่าสังเกตเช่นกัน ก็คือการใช้พลังงานจากน้ำมันและถ่านหินกลับไม่เคยลดลงเลย ตรงกันข้าม ยังต้องเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่องมาเกือบหนึ่งทศวรรษแล้ว
พูดง่ายๆก็คือ พลังงานทางเลือกที่เพิ่มขึ้นมานั้น ยังไม่สามารถทดแทนพลังงานดั้งเดิมเหล่านี้ได้ เพราะความต้องการใช้พลังงานนั้น มีอัตราเติบโตที่เร็วกว่ากันมาก จากปัจจัยต่างๆ
อาทิ จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น อุปกรณ์ต่างๆในยุค 4.0 ที่ต้องการพลังงานมากกว่าเดิม รวมถึงไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งยิ่งสะดวกมากเท่าไหร่ ก็มีแนวโน้มจะต้องใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม เบโซส ถึงเชื่อว่าท้ายที่สุด พลังงานดั้งเดิมเหล่านี้จะไม่เพียงพอต่อการใช้งาน และเราอาจต้องออกไปเสาะหาพลังงานจากแหล่งอื่นๆในระบบสุริยะแทน
ขณะที่การย้ายไปอาศัยบนโคโลนีนั้น ส่วนหนึ่งอาจเพื่อเป็นการลดภาระของโลกด้วย
เพราะรูปแบบโคโลนีของ โอนีล ที่ เบโซส นำเสนอนั้น เป็นมากกว่าแค่ที่อยู่อาศัยธรรมดา แต่ตัวโคโลนีต้องถูกออกแบบให้มีระบบนิเวศน์ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก
ทีมงาน AHEAD ASIA ยังเชื่อว่าในอนาคต Amazon หรืออาจเป็นตัวของ เบโซส เอง น่าจะมีบทบาทหรือก้าวมาสู่ธุรกิจพลังงานมากขึ้นด้วย
หนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจ คือเร็วๆนี้ เบโซส และ บิล เกตส์ ก็เพิ่งลงขันสนับสนุน General Fusion สตาร์ทอัพด้านเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก ซึ่งจะเป็นอีกตัวเลือกที่ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนพลังงาน รวมถึงปัญหามลภาวะจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
รวมถึงการเป็นโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่ ที่ประเมินกันว่าอาจสูงถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ (320 ล้านล้านบาท) ด้วย
และหากสำเร็จ นั่นอาจหมายถึงในอีกสิบปีข้างหน้า ชื่อของ เบโซส ก็จะยังคงเป็นผู้ชายที่รวยที่สุดในโลกต่อไป ด้วยธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่อีคอมเมิร์ซก็เป็นได้
เรียบเรียงจาก
JEFF BEZOS: IN THE FUTURE, WE’LL LIVE IN “GIANT SPACE COLONIES”
Jeff Bezos unveils new plans for spaceflight
Why Bezos and Microsoft are betting on this $10 trillion energy fix for the planet
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า