QueQ

เบอร์ลิน ในทรรศนะของข้าพเจ้า : มองสตาร์ทอัพเยอรมันผ่านสายตา โจ้ รังสรรค์ แห่ง QueQ

ในแวดวงสตาร์ทอัพไทย น้อยคนจะไม่รู้จักชื่อของ โจ้ รังสรรค์ พรมประสิทธิ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง QueQ แอพพลิเคชั่นจัดระบบรอคิวร้านอาหาร หนึ่งในสตาร์ทอัพที่คนไทยคุ้นเคยมากที่สุดเจ้าหนึ่ง

และในโอกาสที่คุณโจ้ ได้เดินทางไปเบอร์ลิน ในเยอรมนี เพื่อเข้าร่วมงาน Asia Pacific Week 2019

นี่คือส่วนหนึ่งของบันทึกประสบการณ์ที่เจ้าตัวอยากแบ่งปันให้ผู้อ่าน AHEAD ASIA ได้สัมผัส กับอีกหนึ่ง “เมืองหลวงแห่งสตาร์ทอัพ” ของทวีปยุโรป

ผมได้รับเกียรติให้มาร่วมงาน Asia Pacific Week 2019 ร่วมกับทาง NIA โดยได้รับคำเชื้อเชิญจากท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำเมืองหลวงของประเทศเยอรมนี ที่เบอร์ลินแห่งนี้

นอกจากผมกับทีมงาน NIA ที่นำโดยรองจ๋า Theresa, โตโน่ และข้าวปุ้น แล้วก็มี ม๊อด จากทีม Dootv media และมะเหมี่ยวจาก 500 Tuk Tuk ซึ่งเป็นครั้งแรกของทุกคนในคณะเลย ที่จะได้สัมผัสกับเมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์อันสำคัญบทหนึ่งของมนุษยชาติ เมืองนี้

นอกเหนือจากการได้รับการอำนวยความสะดวก การต้อนรับอย่างดีและเป็นกันเอง ของทางสถานทูต ทีมงาน NIA และทีมรับรองที่เลี้ยงดูปูเสื่อพวกเราทั้งคณะอย่างดีเยี่ยม

เริ่มที่เบอร์ลินแต่ไปโตที่อื่น

ผมจะขอกล่าวถึงมุมมองในหลายๆด้าน เท่าที่ได้สัมผัสในการช่วงเวลาเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมา ในโลก StartUps และ Ecosystem ของที่นี่

เบอร์ลิน เมืองที่ผมว่าผู้คน Relax และเป็นกันเองกว่าอีกหลายๆเมืองในเยอรมนี ที่ผมเคยเข้าใจมา แล้วก็ยังมีคนไทยอยู่กันเยอะมาก ประกอบกับการได้พูดคุยกับหลายๆคนที่นี่ ก็ได้ข้อสรุปเดียวกันว่าชาวเบอร์ลิน ไม่ว่าจะโดยกำเนิด หรือหลายๆคนที่เลือกมาใช้ชีวิตที่นี่ เพราะชอบความแหกคอก

การทำตัวอยู่เหนือกรอบอะไรบางอย่าง ของเยอรมันชนตามมาตรฐาน ซึ่งเอื้อให้สภาพมันเหมาะแก่การเป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆ StartUp ที่เรารู้จักกันดี อย่าง FoodPanda, Blinkist และอีกๆหลายตัว ไม่แพ้ที่ San Francisco เลย

แต่ที่แพ้หลุดลุ่ยจริงๆน่าจะเป็นจำนวน Homeless ที่อาจจะมีอยู่บ้างที่นี่ แต่น้อยกว่าที่ SF อย่างเทียบไม่ติด

แต่ไม่ว่าจะแหกคอก คิดต่าง หลุดกรอบ ยังไง เยอรมันก็ยังเป็นเยอรมัน รูปแบบการดำเนินชีวิต วิธีคิด ระเบียบแบบแผน ก็ยังมีลักษณะที่ฝังติดกับตัวตนของแต่ละปัจเจกชนอย่างเหนียวแน่น

เพียงแต่มันผสมผสานจนกลายเป็นรูปแบบเฉพาะตัวของที่นี่ ผสมกลิ่นอายของความอาร์ตหนักๆ เป็นเหมือนเส้นตรงที่ไม่ได้เป็นเส้นที่แค่ลากเส้นผ่านตรงๆ แต่เป็นภาพกราฟิตี้ที่มีเรื่องราว สีสัน ความหมาย ประวัติศาสตร์ การปฎิรูป แต่ก็ยังมุ่งไปยังทิศทางของตัวเองอย่างมั่นคง

ในความรู้สึกส่วนตัว ผมว่ามันมีความคล้ายคลึงกับเชียงใหม่บ้านเรามากๆ ในเชิงอัตลักษณ์ เป็นเมืองที่เหมาะที่จะสร้างทีม StartUp ด้วยความเป็นอยู่ เสน่ห์ สภาพภูมิอากาศ ค่าครองชีพ และปัจจัยอื่นๆอีกหลายด้าน เอื้อให้เหล่าผู้กล้า จากหลายๆสารทิศ มากระจุกรวมตัวและสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆร่วมกันได้อย่างดี

แต่ StartUp ที่นี่มีวิธีการเติบโตที่น่าสนใจ คือ “เริ่มที่เบอร์ลินแต่ไปโตที่อื่น”!!

ไม่ว่าจะ Foodpanda ที่แม้แต่ตัวกิจการที่เบอร์ลินก็ถูกซื้อไปแล้วด้วยซ้ำ และไม่ได้ active อีกแล้วที่นี่ แต่กลับขยายบริการไปที่ต่างๆทั่วโลก และทำได้ดีในเอเชีย อย่างที่เราได้เห็นกัน

Blinkist เองก็เริ่มที่นี่ HQ ก็ยังอยู่ที่นี่ แต่ผู้ใช้และตลาดหลักคือ อเมริกา ผมเจอน้องเก้า คนไทยที่ตัดสินใจย้ายมาปักหลักที่นี่ และเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีม Blinkist

เก้าเล่าให้ฟังว่า ทีมโฟกัสการขยายไปอเมริกาตั้งแต่วันแรก เพราะตลาดใหญ่กว่ามาก

ส่วนที่ยุโรป แม้จะมีขนาดใหญ่และจำนวนของผู้คนจะมาก แต่ปัญหาคือความแตกต่าง ทั้งด้านภาษา วัฒนธรรม รูปแบบการใช้ชีวิต ยุโรปเหนือกับใต้ ตะวันออกกับตะวันตก ล้วนมีรูปแบบที่แตกต่างกันมากๆ อีกทั้งเรื่องกฏหมายและข้อจำกัดต่างๆก็มีมากมาย ดังนั้นตลาดอเมริกาจึงน่าสนใจกว่าที่ยุโรปมาก

Blinkist เติบโตไวมาก ด้วยบริการที่เหมือนผนวกเอา eBook การสรุปความ และ Podcast เข้าด้วยกัน เพื่อนๆ StartUp รู้จักกันดี เพราะหนังสือดังๆที่เราอ่านกันก็อยู่ในแพลตฟอร์มนี้ทั้งนั้น

ตอนนี้ มี user กว่า 8 ล้านคน แค่ปีที่แล้วปีเดียวมี new users ถึง 3 ล้านคน และ 80% อยู่ในอเมริกา

อันนี้เป็นเรื่องราวที่จับใจความได้จากการพูดคุยกันในวงอาหารที่ท่านเอกอัครทูตฯ กรุณาเปิดบ้านเลี้ยงอาหารค่ำ พวกเราอย่างเป็นกันเอง

StartUp เริ่มที่เบอร์ลิน แล้วไปโตได้ทั่วโลก! แล้วบ้านเราล่ะ? จะสามารถทำแบบเดียวกันแบบนี้ได้มั้ย

มันมีปัจจัยอะไรอีกบ้าง ที่เกื้อหนุนให้เกิดภาพลักษณะนี้ ก็ต้องย้อนกลับมาในแนวคิดวิธีการที่นี่ทำ ซึ่งผมว่ามันคือพื้นฐานสำคัญที่ผลักดันให้การเติบโตของผู้ประกอบการที่นี่เป็นไปอย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่อง

 

คอนเนกชั่น = หัวใจสำคัญของการเติบโต

งาน APW2019 เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมพอจะแกะวิธีคิดของการขับเคลื่อนของ ecosystem ของที่นี่ได้อย่างหนึ่ง

ความรู้สึกแรกที่ผมได้ยินเมื่อได้รับคำเชิญไปร่วมงาน Asia Pacific Week ที่เยอรมนี เอ๊ะ! ที่เยอรมัน เหรอ ชื่องานแบบนี้อ่ะนะ เยอรมันกับเอเชีย ในแง่มุม StartUp น่ะเหรอ เค้าจะได้อะไร แล้วเราจะได้อะไร

ต้องย้อนความไปนิดนึงเมื่อ 2 ปีก่อน ทางทีมคิวคิวเองก็ได้มีโอกาสได้รับทุนเข้าร่วมโครงการหนึ่งของ มาเลเซีย ชื่อว่า MaGIC ที่สนับสนุนโดยภาครัฐของมาเลเซียโดยตรง

เหมือนเป็นการไปเข้าค่ายร่วมกับทีมสตาร์ทอัพที่ได้รับการคัดเลือกมาจากทั่วโลก รวมกับสตาร์ทอัพของมาเลเซียเอง ในอัตราส่วนประมาณ 40/60

ประเด็นมันอยู่ตรงการคละกันนี่แหล่ะ ไปเข้าแคมป์ด้วยกัน ทำงานใน Space เดียวกัน นอนที่เดียวกัน เป็นเวลากว่า 4 เดือน

ผมขอข้ามเรื่องผลลัพธ์ออกไป เพราะไม่มีข้อมูลมากพอว่ามันได้ผลลัพธ์ประการใดจากโปรแกรมนี้บ้างในเชิงปฏิบัติ

แต่ในทางทฤษฎี สตาร์ทอัพบ้านเค้าได้รู้จัก Ecosystem ของทั่วโลก ได้เรียนรู้กระบวนการ วิธีคิด และแน่นอนได้คอนเนคชั่นที่ดี โดยไม่ต้องทุ่มงบประมาณ หรือให้สตาร์ทอัพของเค้าไปเสี่ยงกันเองในประเทศอื่นๆ ในเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้น!!!

ครั้งแรกที่ไปเข้าร่วมโครงการนี้ ผมก็มีความสงสัยว่า เราน่ะได้ทุน เราน่ะได้เรียนรู้ตลาดมาเลย์ แล้วโครงการอยากได้อะไรจากเราล่ะ มันต้องมีอะไรสักอย่างแหล่ะ ในโลกไม่มีใครทำอะไรเพื่อใครฟรีๆได้จริงๆหรอก

และก็ได้ข้อสรุปนี้ หลังจากเราเริ่มโฟกัสกับการขยายตลาดไปต่างประเทศ เราใช้เวลาในแต่ละประเทศระดับนึงเลย กว่าที่เราจะกล้าลงทุนขยายตลาดไป กว่าจะรู้จักคน กว่าจะรู้จักวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของเค้า ลองผิดลองถูกอยู่นาน

แล้วก็คิดได้ว่า สมมติมันมีโครงการที่ดึงคนในประเทศที่เราตั้งใจจะขยายตลาดไป เอาคนเจ๋งๆเข้ามา ได้เรียนรู้ ได้ปรึกษา ได้สร้างคอนเนคชั่นดีๆ เราจะประหยัดเวลา และต้นทุนไปได้อีกโขเลย ผมเลยเข้าใจได้ทันทีว่าจริงๆแล้ว MaGIC ต้องการอะไร

เช่นเดียวกันกับงาน APW2019 ลองนึกภาพว่าสตาร์ทอัพเยอรมันจะบุกเอเชีย

เอาจริงๆสตาร์ทอัพยุโรปก็บุกบ้านเรามาได้สวยๆหลายตัวแล้ว ที่แน่ๆเค้าไม่ได้ใช้ท่าเดียวกับบ้านเค้า หรือในยุโรป หรือในอเมริกาแน่ๆ แต่เค้าใช้ท่าแบบเอเชีย แบบเรากันเอง หรือแบบที่ได้ผลกับเรา

เค้าจะทำได้อย่างไร? ก็ด้วยการต้องรู้จักเราให้มากขึ้น เรียนรู้เราให้มากขึ้น ทำงานกับเรามากขึ้น หรือเป็นหุ้นส่วนกับเราในรูปแบบการลงทุน, JV หรือ Acquisition

แล้วจุดเริ่มต้นมันก็เริ่มด้วยงานแบบนี้ มาแชร์กันก่อน คุณมีอะไร และเรามีอะไร แล้วจะทำท่าไหนกันได้บ้าง

สำหรับสตาร์ทอัพที่เบอร์ลิน หรือแม้แต่ในยุโรปเอง อาจจะมีสิ่งที่พอจะเรียกได้ว่าความอหังการ์ ไม่เทียบเท่ายักษ์ใหญ่ในฝั่งอเมริกา

เขายังรู้ว่าเอเชียเป็นตลาดที่เค้าไม่ได้มีความได้เปรียบ ทั้งในเรื่องภาษา วิถีชีวิต และรูปแบบการทำธุรกิจ มีอีกหลายเรื่องที่เค้ามองเราเป็นพันธมิตรมากกว่าคู่แข่งขัน เดินจับมือกันมากกว่าวิ่งแข่งกัน

ภาพที่ออกมาในมุมของความร่วมมือกับหลายๆประเทศในเอเชีย เลยมีให้เห็นกับหลายๆประเทศในแถบนี้ ซึ่งแน่นอนว่ากำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด ไม่แพ้หลายๆประเทศในภูมิภาคเราเช่นกัน

Corporate ตัวแปรสำคัญของการเติบโต

และอีกประเด็นหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนมากๆ คือการพยายามดึงเอา Corporate ระดับยักษ์ที่สามารถเป็น Spring Board ที่ดีให้กับสตาร์ทอัพในสายงานหรือธุรกิจที่เอื้อประโยชน์กัน เข้ามามีส่วนร่วม

ทั้งเรื่องการให้ทุน การให้พื้นที่ทำงาน การเป็นพี่เลี้ยง การทำงานร่วมกัน รวมถึงการช่วยขยายผลทางธุรกิจ ผลักดันผ่านเครือข่ายและกำลังของตัว Corporate เองไปยังตลาดต่างๆทั่วโลก

เรื่องพวกนี้เป็นแนวทางสำคัญที่จะ ‘ขุน’ ให้ StartUps เหล่านั้นโตวันโตคืน จนกลายเป็นยูนิคอร์นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในเรื่องการลงทุน และเศรษฐกิจ ที่อาจจะเป็นตัววัดอนาคตตัวหนึ่งของทั้งประเทศได้เลย

อันนี้ในบ้านเรายังเป็นภาพที่คลุมเครือ การร่วมมือกันกับภาค Corporate ยังมีความยากและไม่ชัดเจนอยู่หลายเรื่อง

ซึ่งต้องขอย้อนกลับไปอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสติดตามคณะ AIS The StartUp ไปดูงานที่นิวยอร์กและบอสตัน

ที่บอสตันคณะเราได้เข้าไปร่วมงานและพูดคุยกับอาจารย์ที่ MIT

รูปแบบการสนับสนุนของทาง MIT ให้เกิดการผลิต StartUps และเหล่า Founder เริ่มกันตั้งแต่เข้ารั้วมหาวิทยาลัย

ถูกละครับ เริ่มตั้งแต่ปีหนึ่ง ไม่ใช่ใกล้จบแบบบ้านเรา มีการสนับสนุนด้วยทุน ด้วยเทคโนโลยี และการเข้าถึงการวิจัยต่างๆ เพื่อสร้างเป็นธุรกิจกันอย่างต่อเนื่อง

แต่ท่อนสุดท้ายของกระบวนการนี้ คือการเชื่อมต่อ เข้ากับท่อขนาดยักษ์ที่จะนำพาเทคโนโลยีและรูปแบบทางธุรกิจเหล่านี้ พุ่งทะยานไปได้ทั่วโลก ท่อที่ว่าก็คือ Corperate ยักษ์ใหญ่ ที่มีสายธุรกิจและสาขาอยู่แล้วทั่วโลกของประเทศอเมริกา!!

ใช่ละครับ เค้าขยับท่าเดียวกันเลย ซึ่งผมก็ไม่มีตัวเลขและข้อมูลที่แน่ชัดในเรื่องความสำเร็จของกระบวนการเหล่านี้อีกแล้ว แต่ด้วยทางแนวคิดนี้ มันเห็นได้ชัดถึงความพยายามให้เกิดความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อแข่งขันในโลกธุรกิจยุคใหม่ ที่ไม่ได้มองแค่การแข่งขันกันเองในประเทศแน่ๆ ไม่ได้มองการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดอันกระจิ๋วหริวกันแบบในไทย แต่มอง Global Impact ที่อาจจะเรียกว่าเป็นการเดิมพันระดับประเทศในสงครามยุคใหม่ก็ว่าได้

แล้วเราได้อะไรจากเรื่องนี้ และจะเล่นเกมส์ เกมส์นี้ต่อไปอย่างไรดี
ผมในฐานะกัปตันเรือของทีมสตาร์ทอัพทีมเล็กๆทีมนึง สิ่งที่เราทำได้โดยที่ไม่ต้องรอโชคชะตา รอฟ้ารอฝน รอคลื่นลม คือการเล่นตามเกมส์ให้ถูก

พวกเราได้ประโยชน์จากการไปร่วม Accelerator Program รวมถึง Landing Program หลายๆตัว ในหลายๆประเทศ อาศัยลู่ทางความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐ เชื่อมโยงให้เกิดผลอันต่อเนื่องในการขยายตลาดไปยังแต่ละประเทศเหล่านั้น

ได้พบปะคน Local ที่หลายคนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เบสในแต่ละประเทศ ได้เรียนรู้ว่าต้องปรับอะไรตรงไหนบ้างให้เข้ากับพฤติกรรมของคนแต่ละพื้นที่

ได้เรียนรู้และได้รับการสนับสนุนอย่างดีในการตั้งต้นธุรกิจในประเทศต่างๆจากโครงการและเจ้าหน้าที่ของโครงการต่างๆเหล่านั้น

แม้ว่าเราเพิ่งเริ่มขยายตลาดกันได้ไม่นาน แต่เราก็อาศัยช่องทางที่ว่าทำให้มันเกิดได้จริง การออกไปเจอ การไปสัมผัส โอกาสต่างๆที่ได้คุยกับคนที่อยู่ต่าง Ecosystem โอกาสทางธุรกิจที่เข้ามา เมื่อเรามีโอกาสพาตัวเองออกไปเจอ

อย่างที่งาน APW2019 นี้เราก็ได้พูดคุยกับ ภาคธุรกิจที่พยายามสร้างการเชื่อมโยงระหว่าง ไทยและเยอรมัน ได้เจอกับเจ้าของ รพ ที่สนใจแนวคิดและ Solution ของเรา ซึ่งใครจะรู้มันอาจจะนำพาบริการแบบคิวคิว เข้าสู่ยุโรปโดยเริ่มที่เบอร์ลินนี้ก็เป็นได้

เหล่านี้มันคืออะไรหลายๆอย่าง ที่เรายังหาไม่ได้ในประเทศของเราในตอนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นในอนาคต

เพียงแต่ว่าเราอาจจะรอไม่ได้ แล้วทำไมเราไม่ถามตัวเองล่ะว่าเราน่าจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมันขึ้นมาในบ้านเราซะเองเลยก็ได้นี่

ออกไปใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่าให้เต็มที่ เพียงขอแค่ยังพึงระลึกได้ว่า เราคือ Thai StartUp และกำลังเดิมพันไปพร้อมๆกับประเทศของเราไว้ก็พอ….

Our guest contributor

รังสรรค์ พรมประสิทธิ์ ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง บริษัท คิว คิว (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท YMMY Co., Ltd. ผู้สร้าง QueQ – No more Queue line แอพพลิเคชั่นจัดการระบบรอคิวร้านอาหาร

5 เทคนิค สร้างธุรกิจให้โตแบบไม่ต้องรอคิว กับ “โจ้” รังสรรค์ พรมประสิทธิ์ แห่ง QueQ

 

ติดตาม guest contributor คนอื่นๆของเรา ได้ที่นี่

เสรีกัญชา ใครได้ ใครเสีย..?

8 เทคนิคการขายให้ลูกค้ากลุ่ม B2B      

Subscribe to Our Newsletter

Loading
Total
84
Shares
Previous Article
Amazon

เบโซส ยอมรับ Amazon สนใจเข้าสู่อุตสาหกรรมรถยนต์

Next Article
Amazon

Amazon กำลังพัฒนาแกดเจ็ทอ่านอารมณ์มนุษย์จากน้ำเสียง ต่อยอดธุรกิจ IoT

Related Posts