บอนนี่ ตู๋ ประธานหญิงของ Giant แบรนด์จักรยานชั้นนำจากไต้หวัน ยอมรับกำแพงภาษี 25% จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะส่งผลให้ธุรกิจจำนวนมากต้องย้ายโรงงานจากจีนในที่สุด พร้อมยุติยุคทองของสินค้า Made in China โดยปริยาย
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน เกิดขึ้นเนื่องจากฝ่ายแรกต้องการให้จีนปรับนโยบายการค้าให้เป็นมาตรฐานเดียวกับประเทศอุตสาหกรรมรายใหญ่อื่นๆ ผ่านการกดดันด้วยวิธีต่างๆ เช่น ขึ้นบัญชีดำบริษัทในจีน และโน้มน้าวให้ประเทศพันธมิตรบอยคอตต์สินค้าอิเลคทรอนิคส์ ฯลฯ
รวมถึงการทยอยปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ เป็น 25% มาตั้งแต่เดือนกรกฏาคมปีที่แล้ว ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อบริษัทต่างๆของทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมทั้งโลก ที่ต้องปรับโครงสร้างการผลิตใหม่ด้วย โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เลือกจีนเป็นฐานการผลิตหลัก
เช่น Intel ผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่ที่ยอมรับว่าต้องทบทวนเรื่องห่วงโซ่อุปทาน หรือแม้แต่ Li & Fung ยักษ์ใหญ่ด้านซัพพลายเชนสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีรายได้จากสหรัฐฯ กว่า 80% ยังแนะนำให้บริษัทอเมริกันต่างๆที่เป็นลูกค้าของตน ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเป็นการด่วน
“เมื่อ ทรัมป์ ประกาศนโยบายกำแพงภาษี 25% มันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเรา จนต้องรีบขยับตัวตั้งแต่เขายังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ” ประธานหญิงของ Giant แบรนด์จักรยานชั้นนำของจีน กล่าว พร้อมเสริมว่ายุคทองของการผลิตสินค้าในจีนนั้นสิ้นสุดลงแล้ว
อดีตที่ปรึกษา ทรัมป์ ย้ำตัดตอน Huawei สำคัญกว่าเจรจาการค้า แนะกวาดล้างบริษัทเทคโนโลยีจีนให้หมด
Giant นั้นปิดโรงงานในจีนไปแล้วหนึ่งแห่ง จากทั้งหมดที่มีอยู่หกแห่ง ตั้งแต่ปลายปีก่อน พร้อมโยกฐานการผลิตสินค้าที่ส่งไปขายในสหรัฐฯไปยังโรงงานอื่นในไต้หวันกับเนเธอร์แลนด์แทน และยังมีแผนตั้งโรงงานแห่งใหม่ที่ฮังการี รวมถึงการมองหาพาร์ทเนอร์ใหม่ในอาเซียน ในเร็วๆนี้ด้วย
สเปนเซอร์ ฟุง ซีอีโอของ Li & Fung เสริมว่ากำแพงภาษีดังกล่าวทำให้ความได้เปรียบของจีน ในการผลิตสินค้าจำนวนมากได้ในราคาถูกหมดไป
“สงครามการค้าทำให้บริษัทต่างๆต้องทบทวนเรื่องฐานการผลิตใหม่ และทยอยย้ายออกจากจีน”
การตัดสินใจขยับตัวของ Giant ส่งผลไปถึงราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่ขยับตัวขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน จนถึงปัจจุบัน รวมแล้วกว่า 80% นับเป็นสถิติใหม่นับจากปี 2015
การย้ายฐานการผลิตจากจีน ทำให้บริษัทไม่ต้องแบกรับภาระภาษีเฉลี่ย 100 ดอลลาร์ (ราว 3,200 บาท) ต่อจักรยานหนึ่งคัน สำหรับการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ แต่ในทางกลับกัน บริษัทฯก็ต้องรับภาระเรื่องค่าแรงที่สูงขึ้น รวมถึงสเกลการผลิตที่เล็กลงจากเดิม
นั่นทำให้ ตู๋ ในฐานะผู้บริหาร ยอมรับว่า Giant พร้อมจะกลับไปผลิตสินค้าในจีนอีกครั้ง หากสงครามการค้าสิ้นสุดลง และทั้งสองฝ่ายปรับลดอัตราภาษีกลับสู่ภาวะปกติ แม้รู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นก็ตาม
รัฐบาลจีนหนุนเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มตัว รับมือสงครามการค้ากับสหรัฐ
AHEAD TAKEAWAY
นักวิเคราะห์ทั้งในและต่างประเทศหลายราย เห็นตรงกันว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนในครั้งนี้ มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ และส่งผลกระทบในวงกว้างกว่าที่ผ่านมา
เพราะในความเป็นจริง ความขัดแย้งระหว่างสองชาติมหาอำนาจนั้นมีมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ เลือกใช้แนวทางอื่นที่ประนีประนอมกว่า เช่น ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ในยุคของประธานาธิบดี บารัค โอบามา
ขณะที่แนวทางของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่แข็งกร้าวกว่านั้น แตกต่างไปอย่างชัดเจน
ซึ่งตรงนี้มีการมองว่ามีประเด็นสำคัญอย่างความพยายามสกัดไม่ให้จีนเติบโตขึ้นมาเป็นอีกขั้วอำนาจ ในยุคที่เศรษฐกิจโลกจะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (อ่านเพิ่มเติมใน ผู้เชี่ยวชาญเตือนสหรัฐฯ ระวังถูกจีนแซงเป็นผู้นำเทคโนโลยี) และอีกเรื่อง คือการเร่งสร้างคะแนนนิยมในประเทศ ก่อนเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปด้วย
และนั่นอาจตีความได้ว่าการประนีประนอมระหว่างสองชาติ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ อย่างดีสุด อาจมีเพียงแค่การพักรบในระยะสั้นเท่านั้น
ปัญหาคือเมื่อสองชาติที่มีกำลังซื้อมหาศาลเป็นลำดับต้นๆของโลก ปะทะกันด้วยวิธีนี้ ผู้ได้รับผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่ประชาชนหรือธุรกิจของทั้งสองชาติเท่านั้น
แม้ที่ผ่านมา หลายบริษัทจะเริ่มปรับนโยบายด้านห่วงโซ่อุปทานแล้ว เหมือนกรณีของ Giant และ Li & Fung ที่มองหาการผลิตใหม่ๆ หรือแม้แต่ Apple ที่ยอมรับว่าอาจต้องย้ายฐานการผลิตเช่นกันในอนาคตอันใกล้
แต่ในระยะยาวนั้น ภาวะเศรษฐกิจของโลกก็จะผันผวนตามไปด้วย เพราะชาติอื่นๆทั้งเล็กและใหญ่ ต่างก็ต้องทำการค้ากับทั้งสองประเทศนี้เช่นกัน
ที่สำคัญ การค้าระหว่างสองประเทศมีความสลับซับซ้อนกว่านั้น เพราะต้องมีการพึ่งพาเทคโนโลยีหรือวัตถุดิบระหว่างกันและกันอยู่
เช่น สินค้า Made In USA ก็มีชิ้นส่วนสำคัญบางอย่างที่มาจากจีน กลับกัน สินค้า Made In China ก็อาจพึ่งพาเทคโนโลยี หรือวัตถุดิบบางตัวจากสหรัฐฯ
นั่นทำให้ห่วงโซ่อุปทานเดิมเกิดปัญหา และหากต้องมีการปรับโครงสร้างการผลิตใหม่จริงๆ ก็น่าจะต้องใช้เวลาพอสมควร และส่งผลให้เศรษฐกิจทุกระดับทั่วโลกต้องชะลอตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งจะมีผลกระทบอื่นๆตามมาเป็นลูกโซ่ไปด้วย เช่น อัตราการว่างงานที่จะเพิ่มสูงขึ้น ราคาสินค้าที่จะขยับตัวจากเดิม เพราะเทคโนโลยีและกำลังการผลิตของชาติอื่นๆนั้น ไม่อาจเทียบกับจีนได้ ฯลฯ
ดัชนีสันติภาพโลกชี้ความเชื่อมั่นผู้นำสหรัฐฯลด สวนทางผู้นำจีน
เรียบเรียงจาก
World’s Top Bicycle Maker Says the Era of ‘Made in China’ Is Over
Supply chain giant Li & Fung urges US companies to diversify away from China
China’s job market faces new pressure as trade war with US drags on
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า