นิสัยเสีย

7 นิสัยเสีย ที่ต้องกำจัดทิ้ง เพื่อเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่

นิสัยส่วนตัว คือสิ่งที่กำหนดชีวิตของคุณทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตก การทำพฤติกรรมเชิงลบต่อเนื่องกันนานๆ จนกลายเป็น นิสัยเสีย ที่ฝังลึกอยู่ในตัว คือเหตุผลที่ฉุดรั้งให้ชีวิตคุณไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร

การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในเชิงบวกให้ได้ จึงจำต้องละทิ้งนิสัยเดิมๆไปด้วย มาย้อนดูกันว่า นิสัยเสีย อะไรบ้าง ซึ่งคุณต้องกำจัดทิ้ง เพื่อเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม

#1
สารพัดข้ออ้าง

เคยสำรวจตัวเองว่าชอบคิดหาเหตุผลโน่นนี่นั่น เวลาล้มเหลวหรืออะไรไม่เป็นใจ หรือมีเหตุผลสารพัดที่คุณไม่ได้เริ่มลงมือทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ซักที

การหาข้ออ้างสารพัด เป็นส่วนหนึ่งของกลไกในการป้องกันตัวเอง แต่ยิ่งคุณใช้เวลาไปกับเรื่องเหล่านั้นมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับกินเวลาที่จะลงมือทำมากขึ้นเท่านั้น

และถ้าคุณทำมันบ่อยๆจนเป็นนิสัย มันจะกลายเป็นวัฏจักรที่วนลูปไม่จบสิ้น จนคุณไม่ได้เริ่มต้นอะไรใหม่ หรือทำสิ่งที่คิดไว้ให้เสร็จซักที

การจะออกจากคอมฟอร์ทโซนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป ถ้าคุณสร้างนิสัยที่ตรงข้ามกับการหนีปัญหาขึ้น บางทีอาจเริ่มจากการหยิบลิสต์สิ่งที่คุณอยากทำมาสำรวจดูว่าเรื่องไหนนั้นพอจะทำได้ และค่อยๆเริ่มจากจุดนั้น

เมื่อคุณทำสำเร็จไปได้หนึ่งเรื่อง คุณจะเริ่มมั่นใจขึ้น และค่อยๆขยับไปหาเรื่องถัดไปที่ยากกว่า แล้วคุณจะพบว่าบางครั้งการออกจากคอมฟอร์ทโซนที่เราสร้างขึ้นมาเอง ก็ไม่ได้สร้างความอึดอัดใจให้ตัวเองเสมอไป

AHEAD TAKEAWAY: การผัดวันประกันพรุ่งนั้น มีเหตุผลเบื้องหลังมากมาย หนึ่งในนั้นคือการที่มันเป็นตัวตนจริงๆของคุณ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ทำอะไรอยู่ดี หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดสำหรับแก้ไขเรื่องนี้ คือการวางเป้าหมายและเดดไลน์ที่ชัดเจน เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้คุณลงมือทำ ซึ่งอาจมีแรงเสริมในรูปของรางวัลหรือการลงโทษ ตามแต่ที่คุณเห็นว่ามันเหมาะกับคุณจริงๆ

อ่านเพิ่มเติม:
5 เหตุผลที่ทำให้คุณผัดวันประกันพรุ่ง (พร้อมวิธีแก้ไข)

#2
ออนไลน์ตลอดเวลาที่ตื่น

สมาร์ทโฟน คือตัวการสำคัญที่ทำให้สมาธิของคุณไขว้เขว ทั้ง Facebook, Messenger, Line, Instagram และอีกสารพัด ตั้งแต่ตอนที่คุณตื่นจนถึงเข้านอน

นิโคลัส คาร์ ผู้เขียน The Shallows: What the Internet Is Doing to Our Brains อธิบายว่าคนเรามักใช้อินเตอร์เน็ตในทางที่ผิด คือแทนที่จะใช้มันเป็นส่วนเสริมหรือเครื่องมือเรากลับใช้มันเป็นที่เก็บข้อมูลทั้งหมดแทน ทำให้กระบวนการคิดของสมองไม่ได้ถูกใช้งานอย่างที่ควรจะเป็น หลายครั้ง เราถึงมักหลงลืมเรื่องง่ายๆไป เพราะเราพึ่งพาเครื่องมือเหล่านั้นมากเกินไป

คำแนะนำจาก คาร์ คือ หยุดการเชื่อมต่อกับโลกบ้าง ลองปิดสมาร์ทโฟนของคุณดูระหว่างที่อยู่ในออฟฟิศ แล้วลองสังเกตตัวเองว่าทำงานได้ดีขึ้นรึเปล่า

AHEAD TAKEAWAY: การไถฟีดเพื่อดูคอนเทนต์เจ๋งๆในโลกโซเชียล เป็น นิสัยเสีย ที่คุณอาจเข้าใจผิดว่าเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ แต่ ลิซา ฮัทชิสัน นักจิตบำบัด มองว่ายิ่งคุณจมลึกกับโลกออนไลน์มากเท่าไหร่ ก็เท่ากับตัดโอกาสที่คุณจะสร้างอะไรใหม่ๆขึ้นมา “ด้วยตัวเอง” มากกว่า

อ่านเพิ่มเติม:
7 อุปสรรคที่ขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ของคุณ

#3
ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

การทำงานแบบ multitask เพราะเชื่อว่าจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นเป็นความเชื่อแบบผิดๆที่ฝังหัวกันมานาน

เดฟ เครนชอว์ เจ้าของหนังสือ The Myth of Multitasking: How “Doing It All” Gets Nothing Done อธิบายว่าคนเรามักเข้าใจผิด ระหว่าง background tasking กับ multitasking ว่าไม่มีความแตกต่างกัน

พฤติกรรมอย่าง การฟังเพลงขณะขับรถ หรือดูทีวีระหว่างวิ่งบนสายพาน นั้นเป็น background tasking ซึ่งสมองของเรายังคงโฟกัสกับงานหลัก (ขับรถ และวิ่งบนสายพาน) ขณะที่การฟังเพลงหรือดูทีวีระหว่างนั้น ไม่ได้รบกวนสมาธิแต่อย่างใด

แต่ถ้าคุณลองเปลี่ยนเป็นการเล่นสมาร์ทโฟนระหว่างขับรถ หรืออ่านหนังสือไปพร้อมวิ่งบนสายพานแล้ว สมองจะเริ่มสับสนว่าต้องโฟกัสกับสิ่งไหนดี ซึ่งนี่คือการทำ multitasking

ซึ่งก็มีผลวิจัยยืนยันแล้วว่ามีมนุษย์เพียง 2% เท่านั้นที่ทำงานหลายๆอย่างพร้อมกันได้มีประสิทธิภาพ “จริงๆ”

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนในกลุ่มนั้นรึเปล่า แต่มันก็ไม่จำเป็นอยู่ดีที่จะต้องทำอะไรหลายๆอย่างพร้อมกัน

เพราะในความเป็นจริง ในช่วงเวลาหนึ่ง สมองของเราจดจ่ออย่างเต็มที่ได้กับเรื่องเดียวเท่านั้น การแบ่งสมาธิไปยังเรื่องอื่นในเวลาเดียวกัน กลายเป็นทำให้คุณไขว้เขวมากกว่า

กลอเรีย มาร์ค ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย เออร์ไวน์ อธิบายว่ามนุษย์เราต้องใช้เวลาถึง 23 นาที 15 วินาที ในการเรียกสมาธิกลับมาเต็มร้อย ทุกครั้งที่ถูกขัดจังหวะในการทำงาน

ฉะนั้น การแบ่งสมาธิไปยังหลายๆเรื่อง นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังทำให้สมองคุณทำงานหนักขึ้น และเครียดขึ้นทั้งโดยรู้และไม่รู้ตัว

AHEAD TAKEAWAY: แม้จะมีงานวิจัยหลายๆชิ้นยืนยันตรงกันว่า multitasking เป็นผลเสีย แต่คนจำนวนมากก็ยังไม่สามารถจัดระบบความคิดของตัวเองได้ หนึ่งในวิธีที่ได้ผลคือการนำหลักการของ ไบรอัน เทรซี ผู้เขียน Eat That Frog! มาใช้ นั่นคือบังคับตัวเองให้ทำงานสำคัญๆที่ต้องใช้สมาธิสูงให้เสร็จก่อนอย่างน้อยสามเรื่อง ถึงจะเริ่มเช็กอีเมลได้ เพราะอีเมลคือหนึ่งในตัวป่วนสมาธิและต้นตอของการ multitasking ตัวจริง

อ่านเพิ่มเติม:
10 เรื่องต้องทำ เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพ

#4
ตอบรับทุกเรื่อง ไม่เคยปฏิเสธ

เวลาคือวัตถุดิบสำคัญของการสร้างสรรค์และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่เรามักเสียเวลาไปกับความเกรงใจ ไม่กล้าปฏิเสธคน จนกระทบต่อสมาธิของตัวเอง

การหัดรู้จักปฏิเสธบ้าง จะช่วยให้คุณโฟกัสกับงานของตัวเองได้ดีขึ้น เหมือนที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กล่าวไว้ว่า “คุณจะปล่อยให้คนอื่นมากำหนดสิ่งที่คุณต้องทำในชีวิตไม่ได้ (You can’t let other people set your agenda in life)”

AHEAD TAKEAWAY: งานวิจัยจากเบิร์คลีย์ พบว่ายิ่งคุณเป็นคนปากหนัก ปฏิเสธคนไม่เป็นมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะต้องแบกรับความเครียด ความเหนื่อยล้า ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น (และมันจะโยงกลับไปที่เรื่อง multitasking ด้วย) แต่การปฏิเสธก็ควรต้องมีชั้นเชิงบ้าง เช่นอธิบายว่าเรามีงานสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จ ณ ตอนนั้น แทนที่จะใช้คำว่า “ผมคิดว่าไม่น่าจะทำได้” หรือ “ไม่แน่ใจว่าจะทำได้” ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกในเชิงลบ

#5
มองตัวเองในแง่ลบ

หนักกว่าการหาข้ออ้างสารพัดที่จะไม่ทำ คือการมองตัวเองในแง่ลบว่าไม่มีศักยภาพพอที่จะทำอะไรสำเร็จ

งานวิจัยทางจิตวิทยาหลายฉบับ ยืนยันตรงกันว่าความสำเร็จในชีวิตของคน มีส่วนสัมพันธ์กับการเห็นคุณค่าในตัวเอง (self esteem) คนที่มองตัวเองในแง่ลบเสมอจึงมักมีปัญหาตั้งแต่เรื่องส่วนตัวไปจนถึงหน้าที่การงาน

การจะก้าวข้ามเรื่องนี้ไปได้ คือต้องคิดว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้น ถ้ามีสิ่งที่คุณต้องการลงมือทำ ให้ค่อยๆเริ่มต้น และพยายามพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เมื่อคุณทำมันได้ดีขึ้น เสียงวิจารณ์ในหัวตัวเองก็จะค่อยๆเบาลงไปเอง

หมือนที่ Louise L. Hay เจ้าของหนังสือ You can heal your life อธิบายว่าถ้าการวิจารณ์ตัวเองที่ทำมาตลอดหลายปี มันไม่ได้ผล ก็ให้ลองพิสูจน์ตัวเองด้วยการลงมือทำ แล้วรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

AHEAD TAKEAWAY: คำแนะนำในเรื่องนี้จาก เพเตอร์ ลุดวิก ผู้เขียน The End of Procrastination คือให้พยายามคิดว่า อย่างน้อยการได้ลงมือทำ ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไร แล้วมานั่งเสียใจทีหลัง

ซึ่งเป็นไปตามกฎ Regret Minimization ที่ เจฟฟ์ เบโซส อธิบายเหตุผลในการลาออกจากงานที่มั่นคงในเวลานั้น ว่าเขาอาจเสียดายตอนอายุ 80 ปี ที่ต้องเป็นคนเห็นอีคอมเมิร์ซเติบโตโดยไม่ได้มีส่วนร่วม

อ่านเพิ่มเติม:
8 เหตุผลที่ทำให้จารย์เจฟฟ์รวยที่สุดในโลก

#6
ถามหาความสมบูรณ์แบบ

เมื่อคุณเริ่มต้นลงมือทำ แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้นจนหาข้อสรุปไม่ได้ เพราะคุณมัวแต่ปรับโน่นนิดนี่หน่อยตลอดเวลา เพื่อความสมบูรณ์แบบ ซึ่งไม่มีจริง

เพราะในโลกใบนี้ คนที่ได้รับการยอมรับคือคนที่ทำงานเสร็จ ไม่ใช่คนที่ตามหาความสมบูรณ์แบบตลอดเวลา

ลองนึกภาพว่าถ้า มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ชะลอการเปิดตัว Facebook ไปเรื่อยๆ เพราะคิดว่าจะทำให้มันสมบูรณ์แบบได้กว่าตอนสร้างขึ้นมา วันนี้ ตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์คน่าจะตกเป็นของคนอื่นไปแล้ว

กลับกัน Facebook ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรก คือมันดีที่สุด “ณ เวลานั้น” และค่อยๆใช้ข้อมูลหรือฟีดแบ็กจากผู้ใช้ มาปรับปรุงเพิ่มเติมทีละน้อย จนได้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

ถึงเรายังได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของมันตลอด แต่เป็นการต่อยอดจากงานที่เสร็จแล้วมากกว่า

AHEAD TAKEAWAY: ดรูว์ ฮุสตัน ผู้ก่อตั้ง Dropbox เป็นอีกคนที่ไม่เชื่อเรื่องเวลาที่เหมาะสม เขารู้ว่าคนที่เรียนมาทางด้านวิศวกรรม มักจะติดกับดักความคิดแบบนี้ เพราะธรรมชาติที่ถูกสอนมาให้แน่ใจกับสิ่งที่ทำอยู่ที่สุดก่อน แต่ ฮุสตัน ที่จบมาทางด้านซอฟต์แวร์เอ็นจิเนียร์ ก็เลือกที่จะก้าวข้ามกฎนั้น เพราะเขาคิดว่าถ้ามัวแต่รอให้พร้อม ก็อาจจะเกษียณพอดี

อ่านเพิ่มเติม:
7 บทเรียนธุรกิจ จากประสบการณ์ตรงของ ดรูว์ ฮุสตัน ซีอีโอ Dropbox

#7
ใส่ใจเรื่องที่ไม่ควรใส่ใจ

เป็นธรรมดาที่ระหว่างวัน จะต้องมีเรื่องที่ทำให้คุณหงุดหงิดผ่านเข้ามาตลอดเวลา แต่จะให้ปล่อยเรื่องรถติด คนแซงคิวตอนเข้าลิฟท์ หรือชนจนแก้วกาแฟในมือคุณหก มาให้คุณอารมณ์เสียไปตลอดวันไม่ได้ เพราะมันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของคุณในระยะยาว

ศิลปะของการ “ช่างมัน” (หรือจริงๆ น่าจะเป็น ช่างแ_ง มากกว่า) ก็เป็นทักษะอีกประเภทที่ต้องมีการขัดเกลาเหมือนทักษะอื่นๆ ถ้าคุณสามารถก้าวข้ามเรื่องไม่จำเป็นเหล่านี้ไปได้ คุณจะมองเห็นโลกในมุมที่ต่างไปจากเดิม

มาร์ค แมนสัน ผู้เขียน The Subtle Art of Not Giving A Fuck ย้ำว่าทางเลือกสู่การมีชีวิตที่ดี ก็คือให้ความสำคัญ “เฉพาะ” กับเรื่องที่ส่งผลดีต่อชีวิตคุณก็พอ เมื่อคุณทำได้ คุณก็จะเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น และไม่ปล่อยให้เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมารบกวนการตัดสินใจของคุณอีกต่อไป

AHEAD TAKEAWAY: สตีฟ จ๊อบส์ เป็นอีกคนที่เชื่อในศิลปะของการ “คัดออก” และใช้มันจนประสบความสำเร็จ เขาอธิบายว่าการโฟกัสมีมากกว่าแค่จดจ่อกับสิ่งที่ทำ แต่อีกด้านที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการรู้ว่าจะต้องตัดอะไรทิ้งบ้าง

“ผมภูมิใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ พอๆกับสิ่งที่ตัดสินใจลงมือทำ”

อ่านเพิ่มเติม:
คำแนะนำเปลี่ยนชีวิตจาก สตีฟ จ๊อบส์, บิล เกตส์ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์

เรียบเรียงจาก
Bad habits you must immediately break to improve your life in the next 100 days

AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า

Subscribe to Our Newsletter

Loading
Total
116
Shares
Previous Article
University Academy 92

ตำนานปีศาจแดงชุดปี 92 ตั้ง University Academy 92 มหาวิทยาลัยแนวใหม่ เริ่มเปิดสอนกันยายนนี้

Next Article
ฟู้ดเดลิเวอรี่

Ghost Kitchen และ Virtual Restaurant ฐานทัพลับ ฟู้ดเดลิเวอรี่

Related Posts