ที่ผ่านมา วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถูกมองว่า มักเลี่ยงที่จะลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี เพราะเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่เร็ว จนยากที่จะคาดการณ์ทิศทางได้
แต่ไม่ได้หมายความว่าปรมาจารย์ด้าน VI จะปฏิเสธเทคโนโลยี เพียงแต่เลือกที่จะซื้อหุ้นในธุรกิจที่ตนเข้าใจเท่านั้
เห็นได้จากการที่ Berkshire Hathaway ถือหุ้นของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple เป็นมูลค่าถึง 120,000 ล้านดอลลาร์
และในปีที่ผ่านมา ยังหันไปจับหุ้น T-Mobile ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายของสหรัฐฯ ด้วย
ที่น่าสนใจคือในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นฉบับล่าสุดนั้น ระบุว่าในพอร์ตของ BH ถือหุ้นของ BYD ผู้ผลิต ยานยนต์ไฟฟ้า จากจีน ไว้ถึง 8.2%
เป็นอัตราส่วนที่มากกว่าหุ้นของ General Motors ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกันแท้ ๆ ด้วยซ้ำ
ทั้งที่ เมื่อราวสามปีก่อน บัฟเฟตต์ ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Apple เคยแสดงทรรศนะว่าค่ายผลไม้ไม่ควรเข้าซื้อกิจการของ Tesla เพราะเห็นว่าธุรกิจยานยนต์นั้นมีความแปรปรวนสูง และมีคู่แข่งจำนวนมาก
(อ่านเพิ่มเติม บัฟเฟตต์ แตะเบรค Apple อย่าคิดซื้อ Tesla)
แต่ที่จริงแล้ว “จารย์ปู่” อ่านเทรนด์ของโลกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ เมื่อ 13 ปีที่แล้วด้วยซ้ำ หลังตัดสินใจลงทุนในสตาร์ทอัพจากจีนรายหนึ่ง ที่เพิ่งเริ่มต้นพัฒนารถ EV แบบไฮบริดได้ไม่นาน
Build Your Dream
BYD หรือ Build Your Dream เป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งของจีน โดยมียอดขาย EV ในปี 2020 ทังสิ้น 189,689 คัน ขณะที่มูลค่าหุ้นของบริษัทในปีที่ผ่านมา ก็เติบโตขึ้นถึง 300% ซึ่งเป็นผลจากเทรนด์ของโลกที่มุ่งหน้าสู่ EV อย่างเต็มตัว
จุดเริ่มต้นของ BYD นั้นต่างจากผู้ผลิต EV รายอื่น คือเริ่มต้นจากธุรกิจแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน ก่อนข้ามฟากมาสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อปี 2005 หลังเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
ในปี 2008 มีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นสองเรื่อง หนึ่งคือธุรกิจของบริษัทที่มุ่งหน้าสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเริ่มจากการผลิตรถแบบปลั๊กอินไฮบริด และสอง คือการเข้ามาถือหุ้นบริษัทโดย Berkshire Hathaway นั่นเอง
ถือว่า BH นั้นมองการณ์ไกลมาก เพราะในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน Tesla ยังเป็นสตาร์ทอัพเล็ก ๆ ที่ประสบปัญหาทั้งการเงินและโปรดักชั่น จน อีลอน มัสก์ ที่เดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ต้องตัดสินใจลงมาบริหารด้วยตัวเองแทน มาร์ติน เอเบอร์ฮาร์ดท ผู้ก่อตั้งและซีอีโอคนแรก
(อ่านเพิ่มเติมใน เรื่องเล่าจากผู้ก่อตั้ง Tesla ตัวจริง)
ยักษ์ใหญ่ที่เป็นผู้ตาม
แม้ทุกวันนี้ Tesla จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ผลิต EV ชั้นนำของโลกแล้ว แต่ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์หลายราย ก็เพิ่งเริ่มปรับโรดแมปกันใหม่ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เอง
เช่น Ford ค่ายรถยนต์อันดับสองของสหรัฐฯ ที่ประกาศทยอยลดการผลิตเครื่องยนต์ ICE ลง และจะหันไปเน้นการพัฒนา EV อย่างเต็มตัว เมื่อสามปีก่อน
ส่วน GM ก็เพิ่งประกาศแผนยุติการผลิตเครื่องยนต์สันดาป ทั้งดีเซลและเบนซิน ในรถทุกประเภท ภายในปี 2035 ไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เอง
AHEAD TAKEAWAY : การเดิมพันที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า
เครดิตในความสำเร็จของ Berkshire Hathaway ที่เลือกลงทุนกับสตาร์ทอัพเล็ก ๆ จากจีน เมื่อ 13 ปีก่อน ที่เติบโตจนเป็นยักษ์ใหญ่อย่างในปัจจุบันนั้น
เป็นของ ชาร์ลี มังเกอร์ รองประธานบริษัท BH ที่ให้คำแนะนำแก่ บัฟเฟตต์ หลังจากได้พบกับ หวัง ฉวนฟู่ ผู้ก่อตั้ง BYD และประทับใจกับทักษะของอดีตนักเคมีผู้นี้
ถึงขนาดยกย่องว่ามีส่วนผสมของทั้ง โธมัส เอดิสัน และ แจ็ค เวลช์ อยู่ในคนคนเดียว
บัฟเฟตต์ ยังเล่าถึงการเจรจากับ BYD ไว้ในนิตยสาร Fortune เมื่อปี 2009 ด้วยว่าที่จริง เขามีแผนจะซื้อหุ้นบริษัท มากถึง 25% แต่ หวัง คัดค้านและยืนกรานจะขายให้แค่ 10% เท่านั้น
ในมุมของนักลงทุนอย่าง บัฟเฟตต์ นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่บ่งชี้ว่าผู้ก่อตั้งเชื่อมั่นในธุรกิจของตัวเองว่าจะไปได้สวย
มีการประเมินว่า เงิน 232 ล้านดอลลาร์ (7,000 ล้านบาท) ที่ BH ลงทุนไปนั้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1,600 ล้านดอลลาร์ (48,600 ล้านบาท) ในปี 2018 และเพิ่มขึ้นเป็น 5,900 ล้านดอลลาร์ (180,000 ล้านบาท) เมื่อสิ้นสุดปี 2020 หรือกว่า 25 เท่าของเงินที่ลงทุนไปครั้งแรก
นั่นหมายถึงคนที่มองว่าทั้ง บัฟเฟตต์ และ มังเกอร์ เป็นผู้อาวุโสตกยุค อาจต้องกลับลำก็ได้ เมื่อสองปรมาจารย์นั้น “อ่านขาด” ว่าโลกใบนี้จะมุ่งหน้าไปทางไหน ตั้งแต่ Tesla ยังตั้งหลักไม่สำเร็จด้วยซ้ำ
เรียบเรียงจาก
Warren Buffett owns more of a Chinese electric car company than General Motors
Warren Buffett Invests In Chinese Company Developing ‘Green’ Cars
13 years after investing in an obscure Chinese automaker, Warren Buffett’s BYD bet is paying off big
EV sales in China increase as 2020 ends
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า
