วอร์เรน บัฟเฟตต์

5 ข้อคิดเพื่อการลงทุน จาก “จารย์ปู่” วอร์เรน บัฟเฟตต์

ถ้าคุณอยู่ในโลกของการลงทุน ความเห็นและคำแนะนำ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังถือเป็นเรื่องที่ต้องรับฟัง

แม้ปัจจุบัน “จารย์ปู่” จะอายุมากขึ้น และมีบางแง่มุมที่แตกต่างจากนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จก็ตาม

ในการประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปีล่าสุด ปรมาจารย์แห่ง VI ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการลงทุนไว้หลายเรื่อง

และนี่คือ “บางส่วน” ซึ่งกลั่นจากประสบการณ์ตรงของเจ้าตัว ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ในการลงทุนของตัวเองได้แน่นอน

#1
อย่าด่วนพูดคำว่า “ไม่”

บัฟเฟตต์ เคยบอกว่าเขาไม่คิดจะซื้อหุ้นเทคโนโลยี เพราะไม่เข้าใจโมเดลธุรกิจของบริษัทในกลุ่มนี้

แต่ปัจจุบัน Berkshire ยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Apple คือเกินกว่า 5% แม้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว จะเพิ่งขายหุ้นบางส่วนออกไป ราว ๆ 11,000 ล้านดอลลาร์

หรือ BYD ผู้ผลิต EV จากจีนที่เขาเลือกไปลงทุนตั้งแต่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง จนทุกวันนี้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ไฟฟ้าของโลก

นั่นแปลว่าเอาเข้าจริง แม้แต่ บัฟเฟตต์ เองก็มองข้ามสิ่งที่ตัวเองเคยปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี

แต่ทุกครั้งที่พูดถึงหุ้นกลุ่มนี้ “จารย์ปู่” ก็ยังมองในแง่ของการเป็นคอนซูเมอร์โปรดักท์ ที่คนทั้งโลกจะเลือกใช้ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต มากกว่าเรื่องเชิงเทคนิคอยู่ดี

#2
การพนันเป็นสัญชาตญาณ (และไม่ยั่งยืน)

บัฟเฟตต์ มองว่าการลงทุนในบริษัทอเมริกันชั้นนำ เป็นได้ทั้งการออม หรืออาจเป็นการพนันสำหรับบางคนก็ได้

เห็นได้จากจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วบนแแพลตฟอร์ม Robinhood ในช่วงที่ผ่านมา

“จารย์ปู่” ไม่ได้มองว่านี่เป็นเรื่องที่ผิด เพราะมันคือสัญชาตญาณของมนุษย์

แต่การลงทุนแบบเก็งกำไรเพียงอย่างเดียวนั้นไมใช่เรื่องที่ยั่งยืน เพราะไม่มีทางที่คุณจะรู้ล่วงหน้าได้ว่ามันจะหายวับไปกับตาเมื่อไหร่

#3
เพราะไม่มีใครรู้อนาคต การเลือกหุ้นที่ดีจึงเป็นเรื่องยาก

บัฟเฟตต์ ยกตัวอย่างหุ้นที่มี market cap สูงที่สุดในโลก 20 ตัว ในปัจจุบัน

ในจำนวนนี้ 5 จาก 6 อันดับแรกเป็นบริษัทอเมริกัน โดย Apple คือบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุด ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์

ตามมาด้วย Microsoft, Amazon, Alphabet และ Facebook ในอันดับ 3 ถึง 6

มีเพียง Aramco บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ในอันดับ 2 เท่านั้นที่ไม่ใช่บริษัทอเมริกัน

เขาถามต่อว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า บริษัทเหล่านี้จะมีสถานะแบบไหน?

คำตอบคือไม่มีใครรู้ได้

เพราะเมื่อ 30 ปีก่อน ไม่มีชื่อของบริษัทที่เขาเพิ่งพูดถึง อยู่ในลิสต์บริษัทมูลค่าสูงสุดของโลก แม้แต่รายเดียว

สิ่งที่ บัฟเฟตต์ ต้องการจะสื่อ คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอาจเกิดขึ้นได้เสมอ

หรือต่อให้คุณรู้เทรนด์ของอุตสาหกรรมที่กำลังจะมาถึง คุณก็ยังต้องมองหาบริษัทที่จะเป็นผู้นำในเทรนด์นั้นอยู่ดี ซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างช่วย และเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ

#4
ถ้าคิดไม่ออก บอกกองทุนรวมดัชนี

ในเมื่อการลงทุนในตลาดหุ้น เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก

คำแนะนำจาก บัฟเฟตต์ คือให้มองหากองทุนรวมดัชนี (Index Funds) เป็นอันดับแรก

“จารย์ปู่” ในวัย 90 เล่าว่า แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังระบุในพินัยกรรม ให้ผู้ดูแลผลประโยชน์ ลงทุน 90% ผ่านกองทุนรวมดัชนี ซึ่งเน้นบริษัทในกลุ่ม S&P 500เป็นหลัก และอีก 10% ในตั๋วเงินคลัง ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยมาก ๆ

#5
มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน

แม้ในโลกของการลงทุน จะเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ บัฟเฟตต์ ย้ำว่าการมองโลกในแง่ดีเป็นสิ่งสำคัญ

พร้อมยกตัวอย่างผลการศึกษาที่ว่าคนมองโลกในแง่ดี จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามระดับของทัศนคตินี้ด้วย

บัฟเฟตต์ เสริมว่าตลอด 62 ปี ที่ร่วมงานกับ ชาร์ลี มังเกอร์ มา ทั้งคู่ไม่เคยถกเถียงกันแรง ๆ หรือโกรธกันเลย

พร้อมติดตลกทิ้งท้ายว่า ทั้งเขากับ มังเกอร์ (97 ปี) จะมองอะไรไม่ค่อยชัดแล้ว แต่เรื่องการมองโลกในแง่ดี ทั้งคู่ไม่เป็นรองใครแน่นอน

เรียบเรียงจาก

Warren Buffett Wants to Make You Happier, Smarter and Richer

อ่านเพิ่มเติม

7 เรื่องที่นักลงทุนมือใหม่ ต้องปรับทัศนคติ โดย ‘จารย์ปู่’ วอร์เรน บัฟเฟตต์

AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า

Subscribe to Our Newsletter

Loading
Total
21
Shares
Previous Article
The 4-Hour Workweek

4+1 คำถามเปลี่ยนชีวิต โดย ทิม เฟอร์ริส ผู้เขียน The 4-Hour Workweek

Next Article
อยู่รอด

How to อยู่รอด : กรณีศึกษาจาก รังสรรค์ พรมประสิทธิ์ ผู้ก่อตั้ง QueQ

Related Posts