ทุกวันนี้ คำว่าปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนทั่วไปอีกต่อไป เมื่อเทคโนโลยีในช่วงสิบปีหลังสุด พัฒนาจนไล่ตามแนวคิดคอนเซปต์นี้ได้ทัน
สมองกลที่เรียนรู้หรือคิดได้เอง ซึ่งเคยมีแต่ในนิยายไซไฟ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว ทั้งในแง่การทำงาน หรือประสบการณ์ทั่วไป
คำถามคือ มีใครบ้างที่มีศักยภาพพอสำหรับก้าวขึ้นเป็นผู้นำของวงการตลอดทศวรรษหน้า นี่คือคำตอบผ่านมุมมองของเว็บไซต์ด้านการลงทุน Motley Fool
Alphabet : ผู้บุกเบิกและรันวงการตัวจริง
Alphabet คือบริษัทแม่ของ Google ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในปัจจุบัน
โครงสร้างหลัก ๆ ของ Alphabet แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ Google และ Other bets
ภาพรวมของส่วนแรก คือเน้นบริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นหลัก เช่น มีเดีย/มาร์เก็ตติ้ง (YouTube/Google AdSense) คอนซูเมอร์อิเลคทรอนิคส์ (แอนดรอยด์/Pixel/Google Home ฯลฯ) คลาวด์เซอร์วิส (Google Cloud) และการลงทุนในรูปของ ventures ต่าง ๆ
ส่วนที่สองคือ Other bets จะเน้นหนักด้าน Deep Tech มากกว่า เช่น Waymo และ Wing ที่เป็นยานยนต์และโดรนอัตโนมัติ, เฮลธ์แคร์ (Verily และ Calico) และ moonshot projects ต่าง ๆ เช่น DeepMind เป็นต้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร เทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างของ Google นั้นถูกพัฒนาขึ้นร่วมกับ AI แทบทั้งนั้น
หลักไมล์สำคัญของบริษัท คือการก่อตั้ง Google Brain ทีมวิจัยด้าน deep learning ที่มี แอนดรูว์ อึ้ง (Andrew Ng) เป็นหัวหน้าทีม เมื่อปี 2011
จนเป็นแม่แบบของระบบจดจำภาพ และเสียง (visual และ speech recognition) ซึ่งกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ถูกต่อยอดไปสู่บริการรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย
ยังมึการซื้อกิจการของ DeepMind ผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์สัญชาติอังกฤษ ซึ่งอยู่เบื้องหลัง AlphaGo เมื่อปี 2014
ส่วน Waymo ก็เริ่มต้นจากแผนกพัฒนายานยนต์อัตโนมัติ ก่อนจะพัฒนาจนสามารถแยกออกมาเป็นบริษัทลูกในเครือได้
เครื่องมือแทบทุกอย่างของ Google ที่เราใช้งาน ทั้ง Google Maps, News, Translate หรือ Assistant ล้วนแต่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้น ด้วยความสามารถของ AI ในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และเรียนรู้
AI ยังถูกนำมาช่วยวินิจฉัยอาการป่วย เช่น เบาหวาน หรือ มะเร็งเต้านม ด้วยความแม่นยำระดับ 90%
และในอนาคต ยานยนต์อัตโนมัติจาก Waymo ที่จะเป็นมาตรฐานใหม่ในการเดินทาง ก็จะถูกควบคุมโดย AI เช่นกัน
Etsy : ประสบการณ์มาร์เก็ตเพลสที่เหนือกว่า
Etsy คือเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลส ที่มีแนวทางเฉพาะตัวมาก ๆ คือเน้นขายสินค้าวินเทจ งานฝีมือประเภทแฮนด์เมด ฯลฯ
สินค้าที่ขายบน Etsy จึงมีราคาสูงกว่า และมีความเป็น niche มากกว่า เมื่อเทียบกับมาร์เก็ตเพลสที่เราใช้งานกันทั่วไป
ถึงจะมีลักษณะเฉพาะทาง แต่ตัวแพลตฟอร์ม ก็มีร้านค้ากว่า 5.2 ล้านราย และผู้ซื้อกว่า 90 ล้านคน ในสหรัฐฯ และยุโรป
มองกันแบบผิวเผิน คอนเซปต์ของ มาร์เก็ตเพลสสำหรับสินค้างานฝีมือหรือวินเทจ ไม่น่าจะเข้ากับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบบ AI
แต่การที่ Etsy ประสบความสำเร็จจนมีฐานผู้ใช้งานมหาศาล ก็มาจากปัญญาประดิษฐ์ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเสิร์ชหาสินค้าที่ต้องการได้ง่าย และตรงความต้องการกว่าที่อื่น ๆ
จอช ซิลเวอร์แมน (Josh Silverman) ซีอีโอของ Etsy อธิบายถึงเรื่องนี้ในการเผยผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมา ว่ากุญแจสำคัญของบริษัทคือ machine learning
ที่จะคอยรวบรวมข้อมูล insights ต่างห เพื่อนำมาวิเคราะห์ และประมวลผล ก่อนเสนอผลการค้นหาที่มีความเฉพาะตัวมาก ๆ (personalized) สำหรับลูกค้าบนแพลตฟอร์ม ที่เน้นเรื่องความมีเอกลักษณ์เฉพาะ มากกว่าราคาอยู่แล้ว
เป้าหมายต่อไปของ ซิลเวอร์แมน คือการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ของแพลตฟอร์มให้ดียิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายในระดับที่เจ้าตัวนิยามว่าเฉพาะลูกค้าคนนั้น ๆ (made just for you) ให้ได้ในอนาคต
Zebra Technologies : โซลูชั่นคลังสินค้าอัจฉริยะ
Zebra เริ่มต้นจากธุรกิจเครื่องพิมพ์ในยุคแรก ก่อนจะขยับไปจับเทคโนโลยี RFID (การใช้ความถี่วิทยุเพื่อระบุตัวตนหรือตำแหน่ง) ก่อนจะก้าวสู่ยุคของการให้บริการคลังสินค้าอัจฉริยะ เมื่อ แอนเดอร์ส กุสตาฟส์สัน (Anders Gustafsson) ซีอีโอคนปัจจุบัน เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2007
การให้บริการโซลูชั่นคลังสินค้าอัจฉริยะของ Zebra เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหุ่นยนต์ (Robotics) กับปัญญาประดิษฐ์รูปแบบต่าง ๆ
เช่น Computer Vision (AI ที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์มองเห็นและเข้าใจได้เหมือนมนุษย์) หรือ Machine Learning ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ช่วยให้การทำงานของเครื่องจักร และระบบอัตโนมัติในซัพพลายเชน ทำงานร่วมกันได้แบบไร้รอยต่อ ตามแนวคิด “รับรู้” “วิเคราะห์” และ “ลงมือ” (sense-analyze-act)
ซึ่งมีตั้งแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต แทร็คตำแหน่งของสินค้าในระหว่างการขนส่ง หรือสร้างประสบการณ์เชิงบวกแบบเรียลไทม์ให้ลูกค้าในร้านค้าปลีกก็ได้
เรียบเรียงจาก
3 Artificial Intelligence Stocks to Buy and Hold for the Next Decade
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า