ในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่ง Country Manager อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส ประเทศไทย ครบหนึ่งปี
คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ ได้เชิญสื่อหลาย ๆ แห่ง รวมถึง AHEAD ASIA เพื่อพูดคุยถึงทิศทางที่บริการคลาวด์เซอร์วิสกำลังมุ่งหน้าไป รวมถึงกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ AWS ประเทศไทย จะนำมาใช้เพื่อยกระดับบริการในปี 2565 และปีต่อ ๆ ไปด้วย
คุณวัตสัน เล่าว่าในปีนี้ ธุรกิจคลาวด์ของ Amazon เติบโต 36.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในไตรมาสแรก มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวสู่ดิจิทัลของภาคธุรกิจส่วนใหญ่
ทาง AWS เอง ก็พยายามเร่งเพิ่มและพัฒนาทีมงาน พาร์ทเนอร์ และบริการด้านคลาวด์ในไทย เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าวโดยในปี 2565 นี้ ก็จะเดินหน้าตามกลยุทธ์หลัก 3 ด้านด้วยกัน คือ
ขยายทีมงาน เพิ่มหลากหลาย พร้อมรองรับ Digital Native
นอกจากการขยายทีมเดิม ที่มีความเชี่ยวชาญ ด้านการขาย ด้านเทคนิค การบริการระดับมืออาชีพ และ solution architect แล้ว
ในปีนี้ จะเน้นไปที่ทีมสำหรับดูแล Digital Native Business (DNB) ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้ากลุ่มยูนิคอร์นที่กำลังเติบโตในประเทศไทยโดยเฉพาะ
ยกระดับความร่วมมือกับคู่ค้าใน AWS Partner Network
ปลายปีที่ผ่านมา AWS ได้จับมือกับ SiS Distribution (SiS) ผู้จัดจำหน่ายไอที ที่ให้บริการพันธมิตรกว่า 7,000 รายเพื่อทำหน้าที่ผู้จัดจำหน่ายสำหรับกลุ่มการค้าของ AWS รายแรกในประเทศไทย เพื่อรองรับฐานคู่ค้าในไทยที่ขยายตัวขึ้น
AWS ยังร่วมงานกับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระในประเทศไทยอื่น ๆ ผ่าน AWS ISV Accelerate Program แพลตฟอร์มการขายร่วม สำหรับองค์กรที่ให้บริการโซลูชันซอฟต์แวร์ที่ทำงานหรือผสานกับ AWS ซึ่งจะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ และเร่งวงจรการขายโดยเชื่อมต่อ ISV กับฝ่ายขายของ AWS
วิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับคู่ค้า
กลยุทธ์สุดท้าย คือการแบ่งระดับเทคโนโลยีที่จำเป็น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละลำดับขั้น ซึ่งในที่นี้ คุณวัตสัน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ
Stage 1: Secured cloud infrastructure
การทำงานของ AWS คือนำเสนอบริการให้ลูกค้าที่ต้องการย้ายโครงสร้างพื้นฐานจาก on-premise มาสู่คลาวด์โดยเน้นส่งมอบแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านสถาปัตยกรรม และความปลอดภัย
แต่ปัจจุบัน องค์กรส่วนใหญ่ ยังใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบ on-premise และ hybrid และใช้จ่ายสำหรับคลาวด์เพียง 5%
ในแง่หนึ่งคือตลาดและโอกาสที่ยังเปิดกว้างอยู่อีกมาก ถ้ามองว่าคลาวด์คืออนาคต
Stage 2: Modernization
สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ผ่านการใช้ระบบคลาวด์มาได้ระยะหนึ่ง และพร้อมจะพัฒนาไปใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขึ้น เช่น AI และ Machine Learning (ML)
ทีมงาน Solution Architect ในประเทศไทย ก็พร้อมให้การสนับสนุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และช่วยให้ลูกค้าเข้าใจในเทคโนโลยีขั้นสูงต่าง ๆ อาทิ
• Amazon Personalize ที่จะช่วยให้การสร้างแอปพลิเคชันง่ายขึ้น มอบประสบการณ์ให้ลูกค้าได้ตรงตามความต้องการของแต่ละราย
• Amazon Forecast การใช้ ML เต็มรูปแบบ ช่วยนำเสนอการคาดการณ์ที่แม่นยำสูงสำหรับธุรกิจ
• AWS Rekognition บริการวิเคราะห์ภาพด้วย ML สามารถทำการวิเคราะห์รูปภาพและวิดีโอในจำนวนนับล้านภายในไม่กี่นาทีด้วย AI
ประกันภัยไทยวิวัฒน์ (TVI) คือหนึ่งในตัวอย่างลูกค้า AWS ที่นำ AI และ ML มาใช้งานจริง ในการตรวจสอบสภาพรถแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การเคลมประกันเร็วกว่าแบบเดิมถึงสิบเท่า รวมถึงช่วยลดต้นทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตต่อเนื่องของธุรกิจ
Stage 3: Intelligent services and sustainability
นอกจากบริการด้านประสิทธิภาพ AWS ประเทศไทย ยังมองไปถึงการเตรียมความพร้อมลูกค้าสู่ความยั่งยืน ตามโมเดลBio-Circular-Green Economic (BCG)
เช่น รักษาระดับประสิทธิภาพการทำงานในระดับที่ลูกค้าต้องการใช้งานจริง แต่ใช้พลังงานน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฯลฯ
ยังมีเรื่องของการทำ localization และ personalization เช่น พัฒนาบริการบางตัวเพื่อให้รองรับภาษาไทยและรองรับอุตสาหกรรมที่เฉพาะเจาะจงขึ้น เช่น การแพทย์ การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า