เฮนี ฟาริด ผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์พยานหลักฐานทางดิจิทัล เตือนยุคทองของ Generative Ai อาจกลายเป็นโอกาสทองของมิจฉาชีพ หลังพบสถิติถูกนำไปใช้เลียนเสียงเพื่อหลอกลวงมากขึ้นเรื่อย ๆ
เฉพาะในปี 2022 การหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินกลายเป็นคดีฉ้อโกงที่มีสถิติสูงสุดเป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวนผู้เสียหายกว่า 36,000 ราย และประมาณ 14% หรือราว 5,100 ราย เป็นการหลอกลวงทางโทรศัพท์ รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 11 ล้านดอลลาร์
ฟาริด ศาสตราจารย์ด้านพิสูจน์พยานหลักฐานทางดิจิทัลของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่าไม่ว่ายุคไหน แนวทางของมิจฉาชีพยังเหมือนเดิม คือเน้นโจมตีจุดอ่อนของผู้เสียหาย ด้วยการสร้างความน่าเชื่อถือ
แต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่าง Generative AI ที่สามารถเขียนข้อความ จำลองภาพ หรือเลียนเสียง จากข้อมูลที่ได้รับการเทรน ทำให้การหลอกลวงของมิจฉาชีพเหล่านี้แนบเนียนมากขึ้น
ฟาริด ชี้เป้าว่าที่มาของชุดข้อมูลที่มิจฉาชีพใช้ในการเทรน AI มาจากโซเชียลมีเดียที่เราใช้กันอยู่ ทั้ง YouTube, TikTok, Facebook และ Instagram นั่นเอง
“ถ้าเป็นเมื่อปีหรือสองปีก่อน คุณอาจต้องใช้ชุดข้อมูลมหาศาลเพื่อเลียนเสียงใครซักคน แต่ตอนนี้ แค่คุณเข้าไปในFacebook หรือ TikTok อัดเสียงที่คุณต้องการมาซัก 30 วินาที เท่านี้ก็เทรนให้ AI เลียนเสียงได้แล้ว” ฟาริด อธิบาย
นอกจากชุดข้อมูลที่หาได้ง่ายแล้ว เครื่องมืออย่าง AI ประเภท text-to -speech เช่น ElevenLabs ก็เปิดให้บริการในราคาที่จับต้องได้ด้วย ตั้งแต่ 5-330 ดอลลาร์ต่อเดือน (172-11,380 บาท)
หนึ่งในเคสตัวอย่างของการนำ AI ไปใช้เลียนเสียงเพื่อหลอกลวง คือการหลอกลวงพ่อแม่ของ เบนจามิน เพอร์กิน ว่าลูกชายของทั้งคู่เพิ่งขับรถชนนักการทูตรายหนึ่งเสียชีวิต และต้องใช้เงินราว 21,000 ดอลลาร์แคนาดา ในการสู้คดี(ประมาณ 500,000 บาท)
แม้พ่อแม่ของ เพอร์กิน จะไม่แน่ใจในทีแรก แต่เสียงจากปลายสายที่ถอดแบบมาจากลูกชาย ก็ทำให้ทั้งคู่ตกลงทำตาม และรีบโอนเงินให้ทนายความ ด้วยวิธีที่อีกฝ่ายต้องการคือบิทคอยน์
ก่อนจะพบว่าลูกชายเดินทางกลับมาบ้านตามปกติ และไม่สามารถติดตามร่องรอยของเงินที่โอนไป หรือแม้แต่ที่มาของโทรศัพท์สายดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ในสหรัฐฯ การเอาผิดกับผู้พัฒนา AI ที่กลายเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพก็ยังไม่สามารถทำได้เช่นกันโดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผู้พิพากษา นีล กอร์ซัช อธิบายว่าการคุ้มครองทางกฎหมายในเรื่องโซเชียลมีเดียยังไม่ครอบคลุมถึงชิ้นงานที่สร้างขึ้นโดย AI
Source : Washington Post
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า