จบไปแล้วพร้อมกับฝากความประทับใจให้กับทุก ๆ ฝ่ายที่เข้าร่วม สำหรับหนึ่งในอีเวนท์ใหญ่ของปีนี้ อย่าง CTC 2023 Festival ‘The Next Big Things’ ที่ BITEC เมื่อ 22-24 มิถุนายนที่ผ่านมา
ทีมงาน AHEAD ASIA ซึ่งได้รับเชิญให้เป็นหนึ่งในมีเดียพาร์ทเนอร์ของปีนี้ มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณเก่ง-สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม หัวเรือใหญ่ของงาน ถึงที่มาที่ไปของงานนี้ รวมถึงความตั้งใจที่อยากให้ CREATIVE TALK เป็นมากกว่างานคอนเฟอเรนซ์เพื่อความรู้ แต่ยังให้คุณค่าแก่สังคมด้วย
เตรียมงาน 6 เดือน เพื่อ 3 วันสำคัญ
การเพิ่มจำนวนวันจากปีก่อน ๆ เป็น 3 วัน คุณเก่งเล่าว่าทำให้การเตรียมงาน CTC 2023 เป็นเรื่องท้าทายมาก ๆ สำหรับทีมงาน ซึ่งต้องใช้เวลาถึงหกเดือน เพื่อให้ทุกอย่างออกมาราบรื่นที่สุด รวมถึงความท้าทายสำคัญคือเรื่องกำหนดการที่ทุกฝ่ายกังวลว่าอาจตรงกับช่วงเวลาสำคัญของประเทศ
“เพราะย้อนกลับไปเมื่อหกเดือนก่อน เรายังไม่รู้เลยว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ ถ้ามี จะมีเมื่อไหร่ เพราะถ้าจัดตรงกัน งานของเราก็อาจจะโดนกระแสเลือกตั้งกลบได้ ซึ่งพอจะมั่นใจได้ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นก่อนในเดือนพฤษภาคม เราก็เลยเลือกจัดไว้ที่ปลายเดือนมิถุนายน เผื่อไว้ว่าหลังเลือกตั้ง อาจจะยังมีกระแสต่อเนื่องอีกระยะ”
“ในการเตรียมงาน ทีมงาน Creative Talk จริง ๆ มีอยู่แค่ 19 คน แต่ก็ได้ทีม Content Shifu มาช่วยในวันการตลาด และก็ Q-gen มาช่วยในวัน People รวมแล้วจะอยู่ที่ 39 คน แต่ก็มี volunteer มาช่วยเราอีก 83 คน ซึ่งก็มาช่วยด้วยใจจริง ๆ”
ขับเคลื่อนด้วย Insight ตามความสนใจผู้ร่วมงาน
คุณเก่งอธิบายเพิ่มเติมถึงเหตุผลที่เพิ่มจำนวนวันจาก 2 เป็น 3 วัน ว่าหัวใจหลักของ CTC ทุกปี มาจาก 5 แกน คือ Marketing, People, Creativity, Innovation, Entrepreneurship ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการเก็บข้อมูลผู้เข้าร่วมผ่านแอปพลิเคชันหลักของงาน เพื่อแทร็คว่าในแต่ละห้องและแต่ละหัวข้อมีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน
ผลสรุปที่ได้ คือหัวข้อด้านการตลาดได้รับความสนใจมากที่สุด รองลงมาคือ คน และเป็นที่มาของการแบ่งงานนี้ออกเป็นสามวัน โดยให้วันแรกเป็นวันของการตลาด (MARKETING INSIGHT & TECHNOLOGY CONFERENCE) ตามด้วย เรื่องของคนและการพัฒนาคนในวันที่สอง (PEOPLE PERFORMANCE CONFERENCE) และปิดท้ายด้วยเรื่อง creativity (CREATIVE TALK CONFERENCE) รวมทั้งสิ้น 87 เซสชั่น จากสปีกเกอร์ 146 คน
ผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่าเป็นไปตามเป้า คือมีผู้เข้าร่วมงานทั้งสามวันแตะหลักหมื่นคน ซึ่งคุณเก่งก็เสริมว่าตัวเลขสถิติต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้ในปีนี้ ก็จะถูกนำมาใช้สำหรับการเตรียมงานในปีต่อ ๆ ไป
ทั้งเผยแพร่ความรู้ และให้คุณค่าแก่สังคม
ในกลุ่มของตัวเลขผู้ร่วมงานในปีนี้ ก็มีส่วนบ่งชี้ว่างานในลักษณะให้ความรู้แบบนี้เป็นที่ยอมรับของผู้คนมากขึ้น เพราะบัตรร่วมงาน CTC ไม่ใช่บัตรฟรี โดย 50% เป็นบัตรที่องค์กรซื้อให้พนักงาน และอีก 50% เป็นบุคคลทั่วไปที่สนใจ และซื้อมาร่วมงานด้วยตัวเอง
“เราก็พยายามดีไซน์งานให้เป็นงานแห่งความรู้ที่ทุกคนเข้าถึงได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมราคาบัตรของเรา 2,000 บาทเข้าได้ถึงกว่า 80 เซสชั่น หารเฉลี่ยออกมาแค่เซสชั่นละไม่กี่สิบบาท ถือว่าถูกที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับงานอื่น ๆ”
“เพราะเราเชื่อว่าทุกวันนี้แทบจะไม่มีไอเดียที่เป็นออริจินอลแล้ว คนเราจะมีความคิดสร้างสรรค์ได้ ต้องมาจากการ connect the dot ในหลาย ๆ ด้าน แล้วเอามาผสมกัน”
“บางเรื่องอาจเป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว บางเรื่องอาจเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่เรามาเรียนเสริมเพื่อให้มันดีขึ้นบางคนอาจเป็นนักการตลาด มาเรียนรู้เรื่อง HR เรื่องเทคโนโลยีบ้าง การเชื่อมโยงเรื่องเหล่านี้เข้าด้วยกัน จะช่วยให้คุณนำไปต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้”
แต่นอกจากเรื่องความรู้แล้ว อีกด้านที่คุณเก่งอยากยกระดับงานคอนเฟอเรนซ์ในบ้านเรา ก็คือการสร้างคุณค่าในด้านอื่น ๆ แก่สังคมด้วย
“CTC ไม่ได้เป็นแค่งานที่จะเผยแพร่ความรู้ แต่เราอยากให้เป็นงานที่มีคุณค่าต่อสังคมด้วย เพราะปกติ อีเวนท์เป็นวงการที่ใช้วัสดุสิ้นเปลือง ปีนี้ เราก็ร่วมงานกับทาง Moreloop ที่เป็นบริษัทนำเสื้อผ้าเก่ามา upcycle เป็นเสื้อของvolunteer และ souvenir เป็นเสื้อที่ไม่มีการปล่อย CO2 เลย ฉะนั้น เมื่อรวมตัวเลขจากเสื้อทั้งหมดที่เราผลิต ปีนี้เราลดการปล่อย CO2 ได้ 3,897 กก. เท่ากับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จากรถที่วิ่งด้วยระยะทาง 33,000 กม. เท่ากับเราขับจากเหนือลงใต้ 20 รอบ”
นอกจากด้านสิ่งแวดล้อม ก็ยังมีแนวทางการทำงานเพื่อสนับสนุนผู้พิการ ทั้งกลุ่ม สายตา ทางการได้ยิน และเคลื่อนไหว ผ่านความร่วมมือกับ Vulcan Coalition และ AP ซึ่งคุณเก่งอธิบายว่านี่เป็นปีแรกที่ในงาน CTC มีภาษามือในทุกเซสชั่น ยกเว้นที่เป็นภาษาอังกฤษ
นอกจากนี้ ก็ยังมีช่องทางอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ที่ใช้รถเข็น รวมถึงมีทีมที่เทรนมาเพื่อซัพพอร์ทกลุ่มที่พิการทางสายตาด้วย
“ที่เราทำแบบนี้ เพราะอยากเป็นงานตัวอย่างที่ซัพพอร์ทคนกลุ่มนี้ เพราะพอย้อนกลับไปดู insight จะพบว่านี่ก็เป็นคนอีกกลุ่มที่สนับสนุนเรามาตลอด”
”ปีก่อน ก็มีเหตุการณ์ที่กลุ่มนี้เขามารอคุณเอ๋ นิ้วกลมตอนลงจากเวที เพื่อขอสัมผัสหน้าคุณเอ๋ จะได้รู้ว่าคุณเอ๋หน้าตาเป็นยังไง มันเป็นโมเมนต์ที่น่ารักมาก ๆ และเราก็อยากให้มันดำเนินต่อไป”
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า