วิจัยกรุงศรี มองภาพรวมการลงทุนภาคเอกชนปีนี้ อาจขยายตัวเพียงเล็กน้อย ขณะนโยบายการ แจกดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท อาจสร้างภาระทางการคลัง กระทบการปรับอันดับความน่าเชื่อถือในระยะข้างหน้า
ลงทุนภาคเอกชนครึ่งปีหลังถดถอย
ในบทวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและการเงิน (ฉบับวันที่ 26 ก.ย. 66) วิจัยกรุงศรีมองว่าการลงทุนภาคเอกชนในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตต่ำ ขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวของการลงทุนจากต่างประเทศยังไม่ชัดเจน
อ้างอิงจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 พบว่าใน 8 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-สิงหาคม) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจจำนวน 435 ราย (+14%YoY) เงินลงทุนรวม 65,790 ล้านบาท (-21%)
ประเทศที่เข้ามาลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น (99 ราย เงินลงทุน 21,981 ล้านบาท) สิงคโปร์ (72 ราย, 13,995 ล้านบาท) สหรัฐ (71 ราย, 3,070 ล้านบาท) จีน (31 ราย, 11,851 ล้านบาท) และฮ่องกง (19 ราย, 5,359 ล้านบาท)
การลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งแรกของปี ที่เติบโตเล็กน้อยเพียง 1.8% YoY ขณะที่ช่วงครึ่งหลังของปียังมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างช้า ๆ อ้างอิงจาก
- ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในเดือนกรฏาคม ที่ถึงจะปรับตัวดีขึ้นแล้ว แต่ยังคงเติบโตต่ำเพียง 1.4% YoY
- ข้อมูลการขออนุญาตประกอบธุรกิจจากต่างด้าวเฉพาะในเดือนสิงหาคม มีมูลค่า 6,840 ล้านบาท ลดลงจาก 10,023 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของช่วง 7 เดือนแรก ซึ่งอยู่ที่ 8,421 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้ เป็นผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายด้านการลงทุน และความล่าช้าของ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่จะกระทบต่อโครงการลงทุนใหม่ ๆ ของรัฐ
ยังมีปัจจัยลบจากภาคส่งออก ที่หดตัวต่อเนื่อง ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน โดยรวมทั้งปี 2566 คาดว่าการลงทุนภาคเอกชนของไทยจะเติบโตเพียง 2.0% จากขยายตัว 5.1% ในปี 2565
หวั่นแจก 10,000 บาท กระทบเสถียรภาพคลัง
วิจัยกรุงศรี ยังมองว่าหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลชุดใหม่ อย่างนโยบายการ แจกดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทต่อคน เพื่อกระตุ้นการบริโภค จะส่งผลต่อเสถียรภาพทางการคลังที่เคยเป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจไทยมากกว่า
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังเผยว่า เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ 26 กันยายน เพื่อพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ดิจิทัลวอลเล็ด ซึ่งประกอบด้วยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนโครงการได้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567
อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรีมองว่า วงเงินสำหรับนโยยาย ซึ่งสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท อาจสร้างภาระทางการคลังที่มีแนวโน้มขาดดุลสูงขึ้น กระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังที่เคยเป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย และจะกระทบความเสี่ยงต่อการปรับอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคตด้วย
ล่าสุด บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้งฟิทซ์ เรตติ้ง และมูดีส์ ก็เตือนว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่อาจทำให้ระดับหนี้สาธารณะของไทยเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ฐานะการคลังอ่อนแอลง บั่นทอนความเชื่อมั่นและเป็นหนึ่งในสาเหตุหนึ่งทำให้เงินทุนไหลออกในระยะนี้
อ้างอิงจากการที่ในช่วง 22 วันแรกของเดือนกันยายน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดพันธบัตรกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ขายสุทธิกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวแตะระดับ 36.32 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบ 10 เดือน
AHEAD ASIA นวัตกรรม ล้ำหน้า
